Mad father : Story of Dio - Mad father : Story of Dio นิยาย Mad father : Story of Dio : Dek-D.com - Writer

    Mad father : Story of Dio

    ชีวิตที่ถูกลืมเลือน โลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความจริงที่ไม่อาจยอมรับ นั้นคือโลกแห่งความตาย...

    ผู้เข้าชมรวม

    769

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    14

    ผู้เข้าชมรวม


    769

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    5
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 เม.ย. 58 / 19:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เรื่องราว และความเป็นมาของเด็กหนุ่มผมทอง หรือ Dio นี้ จริงๆแล้ว เขาคือตัวละครจากเกมส์ Mad father ซึ่งในเกมส์ เขาไม่มีประวัติที่แน่นอน และยังเป็นตัวละครหลักอีกด้วย ด้วยความที่ผมสนใจตัวละครนี้เป็นอย่างมาก ผมจึงได้ลองเขียน และ บรรยายเรื่องราวของเขาขึ้นมาแบบลับๆ จนมีเพื่อนของผมมาลองอ่าน เขาเองก็เล่นเกมส์นี้เช่นกัน พอเขาอ่านจบ เขาก็บอกว่า ลองเอาไปลงเว็ปดูสิ มันพอใช้ได้เลยล่ะ ผมก็ลองทำตามเขาดู ตอนนี้ ผมยังไม่รู้ว่า จะมีใครมาลองอ่านแล้วหรือยัง แต่ถ้าใครที่มาลองอ่านแล้ว รู้สึกกับเรื่องนี้ว่าอาจไปทำซ้ำ หรือบิดเบือนเรื่องราวจริง ผมก็ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมอยากขอให้ฟังผมซักนิดนะครับ ว่านี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้น เพื่อสมมุติเหตุการณ์ และประวัติของ Dio เท่านั้นครับ ขอให้เข้าใจด้วย

     

    หลังจากนี้  ก็ขอให้ทุกท่านที่มาอ่าน ได้ทำความเข้าใจด้วยครับ และถ้าใครยังไม่ได้อ่าน ก็พยายามทำความเข้าใจเนื้อเรื่องหน่อยนะครับ เพราะช่วงแรกๆอาจจะงงหน่อย แต่หลังๆมาก็จะเข้าใจง่ายขึ้นเองครับ

     

    อ่านให้สนุกนะครับ โชคดีนะ  

    Mr.B

    (มิสเตอร์ บี)


                                                                              เนื้อเรื่องหลักและผู้สร้างเกมส์โดย : Miscreant 's Room (SEN)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ณ ประเทศเยอรมัน มีเมืองชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ ต่างก็อดอยาก และไม่มีบ้านที่เป็นหลักแหล่ง แต่ทุกๆ4ปี จะมีชายใจบุญคนนึง ซึ่งร่ำรวยมาก จะมาคัดเลือกคนในหมู่บ้านนี้ ให้มาอาศัยกับเขา ในคฤหาสน์สุดหรู และใหญ่โตมาก และวันนี้ ก็เป็นวันครบรอบ1ปี ที่เขาคนนั้น จะเข้ามาคัดเลือกคนพอดี ถ้าเปรียบเทียบแล้ว วันนี้ทุกคนต่างตื่นเต้นกันไม่ใช่น้อย ราวกับว่าเป็นวันหวยออกก็ว่าได้

                                                                                           

      ขณะเดียวกัน ที่ใต้สะพาน ก็มีเด็กชายคนนึง ที่ใฝ่ฝันมานาน ว่าจะไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น เขาก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ แต่ที่แตกต่างคือ เขาฉลาด และ เอาตัวรอดได้ดีกว่าคนอื่นๆ “เอาล่ะ วันนี้จะต้องเป็นวันที่ฉัน จะได้ออกไปจากที่นี่ให้ได้เลย” เขาลุกขึ้นมาจากใต้สะพาน แล้ววิ่งไปที่จุดรวมตัวของหมู่บ้านก่อนใคร “หึหึ ฉันมาถึงคนแรกเลย บางที ฉันอาจมีโอกาสมากกว่าคนอื่นก็ได้” รู้สึกว่าเขาจะมีความหวังมากซะด้วย ไม่นาน เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง มีรถม้าคันหนึ่ง วิ่งมาที่หน้าหมู่บ้านนี้ และทุกคนก็รู้แล้วว่าใครที่มาเยือน “เขามาแล้วทุกคน ชายคนนั้นมาแล้ว!” ชายคนนึงในหมู่บ้านตะโกนขึ้น และพอทั้งหมู่บ้านรู้เรื่อง ทุกคนต่างก็วิ่งหน้าตั่งไปที่จุดรวมพลทันที “เขามาแล้วสินะตื่นเต้นจัง” เด็กหนุ่มที่วิ่งมาก่อนใคร ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว หลังจากที่ทุกคนมารวมตัวแล้ว รถม้าคันนั้นก็ค่อยๆวิ่งเข้ามา และจอดอยู่ที่หน้าลานรวมพล รถม้านั้น มีสีที่เปล่งประกาย ราวกับว่าทำจากทองคำทั้งคัน ไม่นานนัก ชายใจบุญคนนั้น ได้ลงมาจากรถม้า พร้อมกับกระเป๋าใบเล็กๆ เขาแต่งชุดสูตรสีดำ ทำให้ดูมีฐานะมาก “เอาล่ะครับ ปีนี้เป็นปีที่ดี สำหรับผมแล้ว ผมจะมาทำตามหน้าที่ คือพาเด็กที่ยากจน และเหมาะสมแก่การมาอยู่ที่คฤหาสน์กับผม ซึ่งคนอื่นๆที่เคยได้ไปแล้วนั้น ต่างก็ประสบความสำเร็จไปเป็นเจ้าคนนายคนกันเยอะมาก ผมไม่รู้ว่ามีใครที่กลับมาหาที่นี่บ้าง แต่ยังไงซะ ผมก็รับไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น” ชายคนนั้นพูดอธิบายให้ทุกคนรับรู้ ว่ายังไงซะ เขาจะเอาไปแค่คนเดียว “ที่ผมรับเพียงคนเดียว นั้นก็เพราะ ผมต้องใช่เวลาเลี้ยงดู และดูและเขาให้มากที่สุด ใจระยะเวลา4ปี ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วยนะครับ สำหรับใครที่ไม่ได้ถูกคัดเลือกก็ไม่ต้องเสียใจนะครับ เพราะยังมีการคัดเลือกไปเรื่อยๆทุก4ปีเช่นเดิมครับ” “เออๆรู้แล้ว เมื่อไหร่จะคัดเลือกซะทีล่ะ”เด็กหนุ่มคนนั้นเริ่มบ่นซะแล้ว “เอาล่ะ ขอให้โชคดีนะ”ชายคนนั้นพูด จากนั้นจึงเริ่มเดินดูแต่ละคน บางคนเขาก็ถามประวัติ และบางคนก็แค่ดูแล้วเดินผ่านไปเลย แต่ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้น ซึ่งชายใจบุญ ได้เดินมาที่เขา และถามประวัติด้วยความสนใจเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก ชายคนนั้นย่อตัวลงมาหาเด็กหนุ่ม แล้วเริ่มถามประวัติ “สวัสดีหนุ่มน้อย เธอชื่ออะไรงั้นเหรอ” เด็กคนนั้น เริ่มรู้สึกมีความหวังว่า อาจจะได้ไปอยู่แล้ว “ผมชื่อDio ครับ” “อือ Dio เธออายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”ชายคนนั้นยังคงถามต่อไป “ผมอายุ15ครับ” “งั้น พ่อแม่ กับ บ้านของเธอล่ะ อยู่ที่ไหนงั้นเหรอ?” คราวนี้ชายคนนั้นถามไปถึงพ่อแม่ของเด็กคนนั้นไปเลยที่เดียว “ผผมไม่มีพ่อแม่ครับ และบ้านของผมก็เป็นใต้สะพานครับ” “ใต้สะพานงั้นเหรอ อือพ่อแม่ของเธอคงจะทิ้งเธอไว้ให้อยู่คนเดียวมานานงั้นสิ” “ครับ” ชายคนนั้นยิ้มให้ แล้วลุกขึ้น จากนั้นจึงไปคัดเลือกคนอื่นๆต่อไป

       

      ตอนนี้ การคัดเลือกได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และอีกไม่นาน ชายคนนั้นก็กำลังจะประกาศชื่อผู้ที่จะได้ไปใช้ชีวิตในความสบายและมีความสุขแล้ว “เอาล่ะครับ เวลาที่ทุกคนรอคอย ได้มาถึงแล้วนะครับ และคนที่จะได้ไปอยู่ร่วมกับครอบครัวผมนั้น ได้แก่” เขาหยุดพูดซักพัก แต่มันทำให้ทุกคนในหมู่บ้านตื่นเต้นมากก็ว่าได้ “เอาแล้วๆ!Dioก็ตื่นเต้นเช่นกัน “คุณนิโครม มาเรียครับ!” ปรากฏว่าไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้นที่ได้ไปด้วย แต่กลับเป็นชายแก่คนนึงแทน “ยินดีด้วยนะครับ ที่ได้ไปอยู่ด้วย” “ออะไรกันไม่นะ ฉันต้องรออีก4ปีเลยงั้นเหรอ” เด็กหนุ่มหมดหวัง และเสียใจ ที่ไม่ได้ไปอยู่ในคฤหาสน์อีกครั้ง “ผผมดีใจครับดีใจจริงๆ ขอบคุณครับ ขอบคุนขอบคุณจริงๆ”ชายแก่คนนั้นดีใจมาจนพูดได้แค่คำว่าขอบคุณ “ไม่เป็นไรครับ เอาล่ะ พาผมไปเก็บข้าวของๆคุณดีกว่านะครับ” ชายคนนั้นได้เตรียมกระเป๋าใบใหญ่ไว้ด้วย เผื่อว่าคนที่รับไป อาจมีสำภาระเยอะ “ดได้ครับตามผม” จู่ๆชายแก่คนนั้นก็ล้มลงไปนอนกับพื้น “เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ เขาเป็นอะไรไป” ชายใจบุญคนนั้น ได้ลองใช้นิ้ว วางลงไปที่ข้อมือของชายแก่ จากนั้น “เขาหัวใจวาย เขาตายแล้วครับ” ซะงั้นคนที่ถูกเลือกกลับดีใจเกินเหตุ และคงเพราะมีอายุมากแล้ว จึงทำให้เขาหัวใจวายก็เป็นได้ “ไม่เป็นไรครับ ผมจะเลือกคนอื่นไปแทนนะครับ แต่มีข้อแม้ว่า คนๆนั้นจะต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง แต่ผมจะให้ที่อยู่เอาไว้นะครับ” เอาล่ะ โอกาสของDio กลับมาอีกครั้งนึงแล้ว “เอาล่ะ คนที่จะไปแทนก็คือ” เขาหยุดพูดไปซักพัก เพราะอยากให้คนได้ลุ้นไปด้วย “Dio ครับ ยินดีด้วยนะ” “หห่ะผมเหรอครับ” ดิโออึ้งเมื่อเขาได้ถูกรับเลือกไป “เอาล่ะ ปีนี้ก็คงหมดเพียงเท่านี้นะ พ่อหนุ่ม เก็บข้าวของได้แล้ว และก็นี้เป็นแผนที่ไปคฤหาสน์นะ เดินทางปลอกภัยล่ะ” “คครับ เจอกันนะครับ” แผนที่นั้น ได้มีข้อความเล็กๆเขียนว่า ‘Drevis Residenca’ ที่แปลว่า คฤหาสน์เดวิต จากนั้น ชายคนนั้นก็กลับไปขึ้นรถม้า แล้วเดินทางกลับไปในทันที “ดีใจด้วยนะหนุ่มน้อย ที่ได้ไปอยู่ที่นั้น” ชาวบ้านคนอื่นๆต่างออกมาแสดงความยินดี “ขอบคุณทุกคนที่ช่วยดูแลผมนะครับ ตอนนี้ผมคงต้องรีบเก็บข้าวของแล้ว ถ้าช้ากว่านี้จะไปถึงมืดครับ” เนื่องจากเขาศึกษาแผนที่คร่าวๆแล้ว จากที่เขาเห็น มันเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล และต้องเดินเข้าป่าด้วย ดิโอจึงคิดว่าต้องรีบเดินทางในตอนนี้ทันที “โชคดีนะดิโอ เราจะคอยดูความสำเร็จของนายนะ” “อย่าลืมพวกเราด้วยนะหนุ่มน้อย!” “คครับ ผมจะไม่มีวันลืมพวกคุณเลยครับ” จากนั้น เขาจึงรีบกลับไปที่ใต้สะพาน แล้วเก็บข้าวของที่จำเป็น จากนั้นเดินไปที่หน้าหมู่บ้าน “เดี๋ยวก่อนดิโอ นายต้องใช้มันนะ” “อะไรเหรอครับ” จู่ก็มีผู้หญิงคนนึง จะเอาของอะไรบางอย่างมาให้เขา “มันเป็นเสื้อกันหนาว กับไฟตะเกียงที่ดีที่สุดในหมู่บ้านนี้น่ะ เอาไปเถอะ กลางคืนจะหนาวและมืดนะ” “ขขอบคุณมากครับ ผมต้องไปแล้วนะครับ ลาก่อน ทุกคน!” เขาตะโกนเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อกล่าวคำอำลาเป็นครั้งสุดท้าย “ลาก่อนดิโอ ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ!!” ชาวบ้านที่รับรู้ก็ตอบกลับไปเช่นกัน เอาล่ะ วันนี้ดิโอ จะสามารถไปถึงฝัน ได้รึเปล่านะ

       

      หลังจากที่ดิโอได้ถูกรับเลือกให้ไปแทน ไม่นาน เขาก็ออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปสู่คฤหาสน์หลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของทุกๆคนในหมู่บ้าน และตอนนี้ เขาก็เดินทางมาถึงถนนหลัก ซึ่งเป็นทางหลวงชนบท ที่สภาพถนน ไม่แตกต่างไปจากถนนลูกรังซักเท่าไหร่ “อือ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนแล้วนะ” เขากางแผนที่ออก เพื่อดูเส้นทางไปต่อ  เนื่องจากเป็นทางแยกที่ทางนึง จะเข้าเมือง และอีกทาง ไปป่าสน แต่กลับไม่มีป้ายบอกทาง ทำให้เขาต้องงมดูแผนที่แทน “ทางนี้งั้นเหรอ โอเค ไปต่อดีกว่า” เมื่อรู้แล้วว่าจะต้องแยกไปทางไหน เขาก็ไม่รอช้าเขาเดินทางต่อไปด้วยความรวดเร็ว ตอนนี้เวลาประมาณ 17นาฬิกา เพราะแดดเริ่มอ่อนแล้ว ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงมากขึ้น ทำให้การเดินทางเริ่มลำบากมากตามไปด้วยเช่นกัน “อือ เอาเสื้อกันหนวามาใส่ดีกว่า” เขากลัวว่าจะป่วย จึงหยิบเสื้อกันหนาวมาสวม “อากาศจะหนาวกว่านี้มั้ยนะ ไม่เป็นไร แค่รีบไปถึง ก็คงปลอดภัยแล้วล่ะ” จากนั้นเขาจึงเดินทางต่อไป

      ไม่นานนัก เขาก็เดินมาจนสุดทางหลวง และได้มาถึงทางเข้าป่าแล้ว “มาถึงจนได้สินะ เอาล่ะ ทีนี้คงจะลำบากหน่อยล่ะนะ” เนื่องจากทางที่ไม่เรียบเสมอกัน มีทั้งขึ้นเขา และลงดอยเป็นจุดๆ แต่ยังไง เขาก็ยังตามรอยรถม้าเข้าไปได้ ดิโอที่มั่นใจในตัวเอง จึงเดินเข้าไปโดยที่ไม่ห่วงอะไรเลย “ไม่ว่ายังไง ฉันจะต้องไปถึงก่อนค่ำให้ได้” เขาเป็นห่วงว่าอากาศจะหนาวกว่านี้ หรือ อาจมีหิมะตก เขาเลยต้องรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุด

      เมื่อเดินทางมานานมาก ยิ่งเดิน ยิ่งเหนื่อย และมืดขึ้นเรื่อยๆ “ยแย่ล่ะสิ หลงซะแล้ว ทำไงดีล่ะเนี้ย” ตอนนี้เวลาประมาณ20นาฬิกา หรือ 2ทุ่ม เขาก็เริ่มหลงทางซะแล้ว “ไม่ ฉันต้องเดินต่อไป จะมายอมแพ้ไม่ได้” ด้วยความที่อยากไปให้ถึง เขาจึงไม่สนใจสิ่งแวดล้อมใดๆทั้งสิ้น ดิโอ เดินไปเรื่อยๆ ไม่นานนัก เขาก็ได้มาเจอกับเส้นทางเก่า แต่ยังพอเดินได้ ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ และ มีแม่น้ำเล็กๆอยู่หลังต้นไม้เหล่านั้น “ว้าว~” เขาหยุดเดิน และยืนมองสิ่งที่สวยงามของธรรมชาติ “มันช่าง สวยงามเหลือเกิน” สิ่งที่เขาเห็นนั้น คือดวงจันทร์เต็มดวง ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ เมฆอ่อนๆ และดาวที่อยู่เต็มท้องฟ้า รวมทั้งต้นไม้ และ แม่น้ำที่สะท้อนแสงจากดวงจันทร์ มาเข้าตาของเขา ทำให้เขานั้นเคลิ้มไปกับสิ่งที่เห็นเป็นอย่างมาก
        

       

      แต่แล้วเขาก็หยุด เมื่อเมฆเริ่มมาปรกคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ “แย่แล้วสิ หิมะกำลังจะตกแล้ว!” “ฉันต้องขอความช่วยเหลือซะแล้ว” เขาคิดจะยอมแพ้ และพอแค่นี้ก่อน เพราะขืนเดินต่อ มีแต่ตายอย่างเดียว “ว่าแต่ แถวๆนี้จะมีใครอยู่บ้างนะ” เขาเริ่มหาความช่วยเหลือ โดยการเดินไปตามทางใหม่ ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ

      “ช่วยด้วยมีใครอยู่แถวนี้บ้างมั้ยครับ” ดิโอตะโกนหาความเป็นไปไม่ได้ นั้นคือความช่วยเหลือ แต่ถึงยังไง เขาก็ยังอยากมีชีวิตรอด เพื่อไปสู่จุดหมาย นั้นคือคฤหาสน์ที่ใฝ่ฝันนั้นเอง “เฮ้อ ไม่มีใครได้ยินเลยเหรอ ไม่นะ ฉันต้องมาตายอยู่ที่นี่งั้นเหรอ” เขาเริ่มหมดหวังที่จะมีชีวิตรอดจากความหนาว จึงหยุดเดิน และลงไปนอนกับพื้น “เอาล่ะ ฉันมาได้แค่นี้ ก็ดีแค่ไหนแล้ว งั้น ขอให้ฉันได้ไปสบายทีเถอะ” ระหว่างที่เขากำลังใคร่ครวญ จู่ๆก็มีแสงไฟสว่างออกมาจากป่าลึก ซึ่งเหมือนจะไม่ไกลมากนัก “ฟไฟงั้นเหรอใช้แล้วที่นั้นต้องมีคนอยู่แน่นอนเลย” ด้วยความดีใจที่คิดว่าจะรอดชีวิต เขาจึงลุกขึ้น แล้วหยิบตะเกียงออกมาเปิดส่องทาง แล้วเดินตามแสงนั้นไป เอาล่ะ ความฝันของดิโอ กำลังจะเป็นจริงแล้ว 
       

      “ใกล้ถึงแล้ว ใกล้ถึงแล้ว” เด็กหนุ่มผมทอง ที่หิว หนาว และอยากรอดชีวิต กำลังได้รับพรจากสวรรค์ ซึ่งเป็นแสงไฟคล้ายกับเป็นบ้าน สว่างออกมาจากป่าลึก ทำให้เขามีความหวังที่จะรอดอีกครั้ง “สสำเร็จแล้ว!” รู้สึกว่าเขาจะมาถึงที่หมายแล้ว “นนี้มัน” เขาหยุดไปซักพัก แล้วมองดูสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า “พระเจ้าช่วย ฉันมาถึงแล้วงั้นเหรอ!” สื่งที่เห็นนั้น ไม่ใช่บ้าน กระท่อม แต่มันกลับเป็น คฤหาสน์’ “ต้องใช่แน่ๆ ต้องเป็นที่นี่แน่ๆ” เขาคิดว่าคฤหาสน์หลังนี้ จะเป็นจุดหมายที่เขาได้เดินทางมา แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจ เขาเลยพยายามเดินหารั้วลูกกรง ที่คิดว่า น่าจะเป็นรั้วหน้าคฤหาสน์ “เจอแล้ว นี้แหละ ที่จะบอกฉันได้” เขาหยิบแผนที่ออกมาดู แล้วหยิบตะเกียงส่องดูที่ตัวอักษรโลหะขยาดใหญ่ ซึ่ง มันถูกติดไว้บนลูกกรง มันเขียนไว้ว่า Drevis Residenca “ใช่แล้วล่ะ! ที่นี่คือคฤหาสน์ของชายใจบุญคนนั้นนี่เอง มาถึงแล้ว!” ด้วยความดีใจ เขาจึงไม่รอช้า รีบเปิดรั้วเหล็กที่ไม่ได้ล็อกเข้าไปภายในสวนของคฤหาสน์ทันที 

       

      ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ที่นี่ก็เหลือแค่ ไปหาชายคนนั้นก็พอ ตอนนี้ ดิโอได้เข้ามาถึงหน้าประตูไม้บานใหญ่ ซึ่งเป็นประตูหน้าคฤหาสน์นี้ ก็อกๆ’ “มีใครอยู่มั้ยครับ” “………………………” รู้สึกว่าจะไม่มีใครอยู่ หรือ ไม่มีใครได้ยินเสียงเคาะประตูเลย “อือฉันจะเข้าไปยังไงดีล่ะ” เขาถอยออกมาจากประตู แล้วเดินลงมาที่สวนด้านหน้า จากนั้นจึงนั่งคิดหาวิธีเข้าไป อันตรายหนุ่มน้อย…’ จู่ๆก็มีเสียงหลอนๆของผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้น “คใครน่ะครับ” อันตรายอันตราย…’ ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะค่อยๆเบาลง เพราะต้นเสียงกำลังเคลื่อนที่ “เดี๋ยวสิครับ จะไปไหนเหรอ ผมขอเข้าไปข้างในได้มั้ย” จากนั้นเขาจึงลุกขึ้น แล้ววิ่งตามเสียงนั้นไป ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะพาเขาไปหาที่สวนทางด้านหลังของคฤหาสน์ “อาวเสียงหายไปแล้ว” จู่ๆเสียงก็หายไป แต่หลังจากที่เสียงหายไป หิมะก็เริ่มตกทันที “แย่ล่ะสิ ตรงนี้พอจะมีประตูเข้าไปมั้ยนะ” เขาคิดว่าด้านหลังนี้ จะต้องมี ประตูอย่างแน่นอน เขาจึงสำรวจดูรอบๆ ที่นี่ มีต้นไม้อยู่เยอะ ราวตากผ้า ลำทานเล็กๆ บ่อน้ำเก่า และประตู “นั้นไง! เอาล่ะ เข้าไปดีกว่า” จากนั้น เขาจึงวิ่งไปที่ประตูทันที แต่ระหว่างที่เขากำลังจะบิดลูกบิด จู่ๆก็มีเสียงเหมือนใครบางคน กำลังเดินมาทางนี้พอดี “ยแย่ล่ะสิ ฉันต้องหาที่ซ่อนแล้ว” เขากลัวว่าคนที่ออกมา อาจไม่ใช่ชายคนนั้น เขาจึงหาที่ซ่อน แล้วดูว่าใครจะเปิดประตูออกมาเสียก่อน ถ้าใช่ เขาก็จะเข้าไปหาเอง “เอาล่ะ ตรงนี้แหละ” เขาเลือกที่จะซ่อนหลังต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่หากจากประตูเท่าไหร่  

                       หลังจากนั้นไม่นานมาก ก็มีคนเดินออกมา และคนที่ออกมา กลับไม่ใช่ชายคนนั้น แต่ กลับเป็นเด็กผู้หญิงคนนึง ที่ดูเหมือนจะกำลังอายุได้12ปี จากสิ่งที่เขาสังเกตเด็กผู้หญิงคนนั้น เธอสวมชุดเมดสีน้ำเงิน ผ้ากันเปื้อนสีขาว มีโบว์สีแดงขนาดใหญ่ ซึ่งใหญ่จนผมที่ยาวถึงเอวบังไม่มิด ห้อยจี้สีทองเปล่งประกาย ดวงตาสีน้ำเงิน ที่เข้ากับบรรยากาศยามคำคืน ทำให้เธอดูสวยมากๆในสายตาของเขา “โหเธอสวยจัง” ดูเหมือนว่าเขาจะเคลิ้มไปกับภาพที่เห็น นั้นคือ เมื่อเธอเดินออกมาจากประตู จากนั้นเธอก็ยืนอยู่กับที่ แล้วหลับตาลง และที่สำคัญ ไม่ว่าจะมีลมแรงจนผมของเธอพัดพลิ้วไปตามสายลม พร้อมกับหิมะที่โปรยปราย อากาศที่หนาวเย็น ก็ไม่อาจทำอะไรเธอได้เลย



      ให้ตายสิ ไม่หนาวบ้างรึไงนะ ฉันยืนรอจนจะแข็งตายแล้วนะ’ เขาคิดในใจ “Aya กลับเข้ามาได้แล้วลูก เดี๋ยวไม่สบายนะ” จู่ๆก็มีเสียงของชายคนนั้น ดังขึ้นเพื่อเรียกให้เธอกลับเข้าไป “ค่ะคุณพ่อ หนูกำลังจะไป” จากนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ดังเดิม เมื่อทุกอย่างดูเรียบร้อย ดิโอจึงออกมาจากหลังต้นไม้ “เธอชื่ออายะงั้นเหรอแล้วยังเป็นลูกสาวของชายคนนั้นซะด้วยน่ารักดีแฮะ” ดูเหมือนว่าเขาจะหลงรักอายะซะแล้ว “อูยชักหนาวมากซะแล้วสิ ไม่ไหวแล้วๆ รีบเข้าไปดีกว่า” ด้วยความหนาวที่มากขึ้น จนเขาเริ่มทดไม่ไหว เขาจึงเปิดประตูเข้าไปในคฤหาสน์ทันที

       

      ในตอนนี้ ดิโอได้เข้ามาในคฤหาสน์แล้ว และดูเหมือนว่าทางจะปลอดโปร่ง ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆเลย “อือ อายะคงจะไปนอนแล้วมั้ง” เขาคิดว่าอายะที่เขาเจอในตอนแรก อาจจะกลับไปนอนแล้ว เพราะเวลานี้ ก็ดึกพอสมควร “ว่าแต่ ทางนี้จะเชื่อมไปไหนกันนะ” เขากำลังเดินอยู่ที่ทางเดินยาว ซึ่งปลายทางมีแสงสว่างอยู่ “ตรงนั้นมีอะไรอยู่กันนะ” เขาค่อยๆเดินออกไปหาแสงสว่างนั้น ปรากฏว่า ทางที่เขาเดินอยู่นี้ เชื่อมต่อกับห้องรับรองซึ่ง มีโซฟา ตู้เอกสารที่วางอยู่ตรงมุมขวาของห้อง และเตาผิงที่อยู่ทางซ้าย “โอ้เจอเตาผิงด้วย เขาผิงไฟซักพักดีกว่า” ด้วยความที่ร่างกายของเขาเย็นมากจนชาไปทั้งร่างกาย เขาจึงหันมาสนใจผิงไฟให้อบอุ่นก่อน แล้วค่อยออกไปสำรวจ และ หาชายคนนั้นต่อไป “อืมอุ่นดีจังเลย~” อันตราย…’ ระหว่างที่เขากำลังนั้งผิงไฟ จู่ๆก็มีเสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “ห่ะใครน่ะ!” เมื่อเขาได้ยิน เขาจึงลุกขึ้น แล้วพยายามตามหาต้นเสียง อันตรายหนุ่มน้อยหนีไป’ เสียงนั้นดังอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆเคลื่อนที่หางออกไป เหมือนกับในตอนแรก “คุณหมายความว่ายังไงครับ แล้วคุณจะไปไหน” เขาพยายามถามต้นตอของเสียง ‘………………………………..’ ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ แต่จู่ๆแทนที่จะมีเสียงกลับมา คราวนี้กลับมีเงาดำๆ ปรากฏขึ้น “ออะไรน่ะ!” เขาตกใจมากที่จู่ๆก็มีเงาปรากฏขึ้น แบบไม่ทันตั้งตัว “คุณคุณเป็นใคร” ถึงเขาจะตั้งสติ แล้วถามเงานั้นไป แต่ก็เช่นเดิม ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา แต่ครั้งนี้ เงากลับค่อยๆขยับออกไป แล้วพยายามจะออกไปที่ประตูอีกฝั่งนึง “เดี๋ยวสิครับคุณจะไปไหน แล้วมันหมายความมายังไง” เขาวิ่งตามเงานั้นออกไป และดูเหมือนว่าเขาจะทิ้งของเขาไว้ในห้องรับรองซะด้วย แต่ด้วยความที่อยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเห็นคืออะไร เขาจึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

       

      หลังจากที่เขาออกมาจากห้องนั้น เขาก็มาสู่ทางเดินที่มีประตูอีกบานอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม และอีกบานที่ฝั่งขวาของเขา “เงานั้นหายไปไหนแล้วนะ” ดิโอคลาดสายตาไปจากเงาปริศนานั้น “ว่าแต่ อีกฝั่งของประตูที่อยู่ข้างหน้า จะไปโผล่ที่ไหนกันนะ” เนื่องจากเขากลัวหลงอยู่ในคฤหาสน์ เขาจึงไม่กล้าที่จะเดินไปเดินมาเรื่อยเปื่อย “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองดูดีกว่า” เขาจึงเดินไปที่ประตูนั้น และเตรียมใจที่จะเจอกับสิ่งที่รออยู่หลังประตูนี้ จากนั้น เขาก็เปิดประตูเข้าไปทั้นที ปรากฏว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้น กลับกลายเป็นทางที่ไม่วกวน ไม่สิ มันคือห้องโถงใหญ่เลยก็ว่าได้ “โห ที่นี่สวยกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีกนะเนี้ย!” ห้องนี้คือห้องหลัก ที่มีบันไดอยู่ระหว่างทางเดิน ซึ่งปูด้วยพรมแดงขนาดใหญ่ ส่วนเพดาน ก็มีโคมไฟระย้าห้อยลงมาจำนวน4โคม “ตรงนี้คือส่วนที่เชื่อมต่อกับประตูด้านหน้าสินะ” เนื่องจากเขาหันไปเห็นประตูหน้าคฤหาสน์พอดี เขาจึงจำได้ว่า มันคือประตูเดียวกับที่เขาจะเข้ามาในตอนแรก “เฮ้ไอ้หัวขโมย หนีไม่รอดแล้ว” จู่ๆก็มีเสียงใครบางคน ดังขึ้นมา ซึ่งต้นเสียงนั้น อยู่ตรงประตูด้านหน้า “ผผมไม่ใช่ขโมยนะครับ ผมผมชื่อ   ดิโอ และได้รับเลือกให้มาที่นี่ครับ” เขาพยายามทำความเข้าใจกับคนๆนั้น “เมื่อกี้นายว่า นายชื่อ Dio งั้นเหรอ” “คครับ” คนๆนั้นค่อยๆปรากฏตัวมาหาจุดที่สว่าง “นายนี่เอง ยินดีต้อนรับนะดิโอ” “คคุณคือ…!” ปรากฏว่า คนที่ปรากฏตัวออกมา คือชายใจบุญคนนั้นนี่เอง “ขอบคุณที่เลือกผมนะครับ ขอบคุณจริงๆ ชายผู้แสนดี” “ฮ่ะชายผู้แสนดี ไม่หรอก เรียกฉันว่า อัลเบิร์ด เดวิต (Alfred Drevis) ดีกว่านะ” ชายคนนั้นบอกชื่อจริงของเขาเรียบร้อยแล้ว “แล้วทำไมคุณไม่มาเปิดประตูให้ผมล่ะครับ” “อือนายคงจะเข้ามาจากประตูด้านหลังงั้นสิ ขอโทษที ฉันคงอยู่ที่ห้องใต้ดิน เลยไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูน่ะ คนใช่ก็ไม่มีด้วยสิ”  อัลเบิร์ดทำความเข้าใจกับดิโอเล็กน้อย “ไหนๆก็มาคืนนี้พอดีเลย เอาล่ะ มากับฉันหน่อยได้มั้ย ฉันจะพาไปดูอะไรหน่อย” “ได้เลยครับ” เขาไม่รอช้าที่จะได้ดูอะไรที่อาจเปลี่ยนชีวิตจากคนจนๆ กลายเป็นผู้ดี เขาจึงเดินตามอัลเบิร์ดไปที่อีกฝั่งของห้องโถง และเดินลงไปที่ห้องใต้ดิน ว่าแต่จะมีอะไรรอเขาอยู่กันนะ

       

      ดิโอได้เจอกับอัลเบิร์ดผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แล้ว และตอนนี้ เขาก็กำลังลงไปในห้องใต้ดิน เพื่อดูอะไรบางอย่างที่อัลเบิร์ดเตรียมไว้ให้

      ณ ห้องใต้ดิน ‘ก็อกๆ’ Maria(มาเรีย) มีคนมาหาน่ะ ฉันเข้าไปนะ” “มาเรียเป็นใครเหรอครับ” เขาอยากรู้ “เธอเป็นพยาบาลผู้ช่วยของฉันเองล่ะ งั้นเดี๋ยวไปรู้จักกับเธอเลยนะ” จากนั้นอัลเบิร์ดก็เปิดประตูเข้าไป “ห้องนี้ใหญ่จังเลยนะครับ” “แน่นอน ก็นี้มันเป็นห้องพยาบาลน่ะสิ” ในห้องนี้ประกอบด้วยเตียงไม้ ตู้ยา และอุปกรณ์ต่างๆเต็มไปหมด ราวกับเป็นโรงพยาบาลเล็กๆก็ว่าได้ “สวัสดีค่ะคุณหมอ แล้วเด็กคนนั้นใครล่ะค่ะ” “อ๋อ เด็กคนนี้เหรอ เขาชื่อดิโอน่ะ เขาคือคนที่ฉันเลือกเข้ามาไง” “สวัสดีครับคุณมาเรีย” เธอคนนี้กำลังเก็บข้าวของอยู่ และจากการดูลักษณะ เธอแต่งคล้ายกับชุดเมดสีดำ  “ฉันพอจะได้ยินเรื่องของเธอมาบ้างแล้วล่ะ เธอไม่มีครอบครัวงั้นสิ” “ครับ ผมอยู่แต่แบบนี้แหละครับ” ดิโอเรื่อมรู้สึกคิดถึงเมื่อก่อน “ไม่เป็นไรนะ อยู่ที่นี่เราจะดูแลนายเอง” “ขขอบคุณมากครับ” ดิโอปลื้มใจที่ได้มาอยู่ที่นี่ “เอาล่ะดิโอ นายอยู่ในห้องนี้ซักพักไปก่อนนะ มาเรีย มากับฉันหน่อย” “ได้ค่ะ” ว่าแล้ว มาเรียและอัลเบิร์ดก็เดินออกไปจากห้องนี้ทันที “อือในห้องนี้มีอะไรอยู่กันแน่นะ” เขารู้สึกไม่ดีต่อห้องนี้อย่างมาก เขาจึงเริ่มสำรวจห้องนี้ โดยเริ่มที่ตู้ยาก่อน “ถ้าที่นี่เป็นห้องพยาบาล แล้วทำไมต้องมีอุปกรณ์น่ากลัวแบบนี้อยู่ด้วยนะ” สิ่งที่เขาเห็นคือมีดผ่าตัด กรรไกรตัดเส้นเลือด เลื่อยตัดกระดูด ฯลฯ “นี่มันไม่ใช่ห้องพยาบาลแล้ว นี่มันห้องผ่าตัดชัดๆ” จากนั้นเขาจึงลองสำรวจของอย่างอื่นต่อไป “อ่ะนั้นมันสุดบันทึกนี้” เขาเห็นสมุดบันทึกเล่มนึง ซึ่งดูไม่เก่ามาก เขาจึงลองเปิดอ่าน เพราะคิดว่าอาจจะมีประวัติของที่นี่อยู่ก็เป็นได้ วันนี้เป็นวันที่โชคดี หรืออาจโชคร้ายที่สุดก็ได้ เพราะวันนี้(Monika)โมนิก้า ดันมาเจอความลับที่ฉันตั้งใจปกปิดมาเป็นเวลานาน ความลับนี้สำคัญมา จนฉันต้องฆ่าเธอทิ้งซะ จะว่าไป เป็นห้องนี้ซะด้วยสิ ฉันหมายถึงห้องผ่าศพที่อยู่ชั้นใต้ดินนี้ ซึ่งคงจะสงสัยแน่นอนว่าทำไมฉันต้องฆ่าโมนิก้า แม่ที่แสนดีของอายะ’ “ออะไรนะ ขเขาฆ่าเธองั้นเหรอ” เขาตกใจเมื่อได้รู้แบบนั้น แต่เขาก็ยังอ่านต่อไป ความลับนั้นสำคัญมาก จนฉันไม่อาจจะบันทึกเอาไว้ได้ ฉันพยายามทดลองจากคนที่ฉันหลอกเข้ามา ซึ่งถึงจะแค่4ปีต่อคน แต่นั้นก็มาเพียงพอแล้ว ฉันจำเป็นต้องฆ่าคนเหล่านั้น เพราะการทดลองนี้เกี่ยวข้องกับความตายนั้นเอง’ ขณะที่เขากำลังอ่านไปเรื่อยๆ จู่ๆอัลเบิร์ดก็กลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว “นนาย อ่านมันแล้วใช่มั้ย!” เขาเดินเข้ามา พร้อมกับมาเรียที่ถือเชือกเข้ามาด้วย “คคุณจะทำอะไรผม” “หึๆ ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันก็จะทำเหมือนอย่างรายล่าสุดนั้นแหละ แต่รับรองได้ว่า มันจะไม่เจ็บหรอก มาเรีย!” “ค่ะ” สิ้นเสียงเรียกนั้น มาเรียก็วิ่งมาที่ดิโอ แล้วจับตัวเขาไว้ จากนั้นจึงยกขึ้นไปนอนบนเตียงไม้ แล้วมันเอาไว้ “ยอย่านะ ได้โปรดอย่าฆ่าผมเลย” “ฉันไม่ได้จะฆ่านายหรอกนะ แค่ฉันจะทดลองกับนายก็เท่านั้นแหละ” จากนั้นอัลเบิร์ดก็เดินออกไปที่อีกฝั่งของห้อง ซึ่งมีประตูอีกบาน “มมาเรียครับ ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะครับ” “ฉันแค่ ทำตามหน้าที่ก็เท่านั้นค่ะ” มาเรียพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจซักเท่าไหร่  จากนั้นดิโอก็เริ่มร้องไห้ เพราะคิดว่าคงไม่รอดแน่ๆ    

      ไม่นานอัลเบิร์ดก็กลับเข้ามาพร้อมกับเลื่อยไฟฟ้าสีน้ำเงินขนาดใหญ่ แล้วเดินเข้ามาหาดิโอ

      “ไม่นะ ไม่ได้โปรด ไหนคุณบอกว่าจะได้อยู่อยางสุขสบายไงครับ” เขาพูดพร้อมน้ำตา “ก็สบายแล้วไง นั้นคือ ความตายยังไงล่ะ อยากสบายนักงั้นฉันจะจัดให้!” “ว่าแต่ ตาของนายสวยดีเหมือนกันนะ ฉันขอก็แล้วกัน!” อัลเบิร์ดยกเลื่อยที่ติดเครื่องแล้วขึ้นมาง้างเอาไว้พร้อมที่จะฟันลงไป “ไม่นะๆ………..ไม่!!!!” “ฮ่าๆๆๆๆ!” อัลเบิร์ดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และ ฟันลงไปที่ตัวของดิโอ “อ๊ากกกกกกก!!!!” เสียงร้องอันแสนเจ็บปวดของเขา ช่างน่าสงสารยิ่งนัก และเมื่อสิ้นเสียงเลื่อย และเสียงกรีดร้องของเขา ขณะที่ยังมีสติ เขาคิดว่า “ไม่นะ ฉัน….จะตายแล้วงั้นเหรอ” จากนั้นเขาก็หมดลมหายใจไป

       

      ไงหนุ่มน้อยลุกขึ้นมา…’ “หห๊ะ!” เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเตียงไม้ “ฝันมันเป็นฝันงั้นเหรอ” ที่รอบๆตัวเขา มีอะไรอยู่เลย นอกจากประตูที่อยู่ปลายเตียง มาทางนี้มากับฉัน…’ “คุณเป็นใครกันแน่ครับ แล้วทำไมถึงต้องพูดให้เข้าใจยากด้วย” เขาลุกขึ้น แล้วลงมาจากเตียง จากนั้นจึงเดินไปที่ประตู “จะมีอะไรอีกกันนะ” เขาเริ่มรู้สึกไม่ดี แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ต้องเปิดประตูออกไปเพื่อหาว่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แต่พอเขากำลังจะเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู ปรากฏว่าประตูที่อยู่ตรงหน้าเขา ได้ขยับหนีเขาออกไปด้วยความรวดเร็ว “เฮ้! เดี๋ยวสิ รอกันก่อน” ด้วยความที่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงวิ่งตามประตูนั้นไป แต่ยิ่งวิ่งตาม ประตูก็ยิ่งหนีไกลออกไปมากขึ้น และคดโค้งมากขึ้นด้วย “ไม่จริง มันต้องเป็นฝันแน่ๆ ฉันต้องตื่น ใช่แล้ว!” เขาคิดว่า แค่ตื่นขึ้นมาจากฝัน เรื่องทั้งหมดนี่ก็อาจหายไปด้วย “เอาล่ะดิโอ ตั่งสติไว้ ตื่นได้แล้วนะ!!!” เขาพูดเตือนตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล “ไม่เอานะ ฉันฉันยังไม่อยากตายนะ!” สิ้นเสียงตะโกนนั้น จู่ๆประตูก็หยุดลง แล้วเปิดออก ทำให้ดิโอที่กำลังวิ่งตามประตูอย่างรวดเร็ว หยุดไม่ทัน และ เข้าไปในแสงจ้าที่หลังประตูได้ส่องประกายออกมา ในทันที

      “ออืม….หือ!” เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง “โถ่เอ๊ย ฝันบ้าอะไรเนี้ย น่ากลัวชะมัด” เขาคิดว่าสิ่งที่เห็นตั่งแต่แรกนั้นเป็นเพียงความฝัน “ว่าแต่ฉันอยู่ที่ไหนเนี้ย” เขาลุกขึ้นมา แล้วสำรวจดูรอบๆตัวเขา โดยสิ่งที่เขาสังเกตได้ คือเขากำลังนอนอยู่ในหลุมหรือเหวที่ไม่ลึกมาก และยังถูกปกคลุมด้วยหิมะที่ค่อนข้างหนา “นี่ฉันคงหลับไปนานมากแน่ๆ” เนื่องจากเขาเห็นรอยการนอนทับหิมะของเขา ซึ่ง เป็นรอยที่ลึก ทำให้รู้ได้ว่า เขาหลับจนหิมะตกลงมาจนท่วมตัวเขานั้นเอง “แล้วทีนี่ฉันต้องไปไหนต่อกันนะ” เขายังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เขาจึงปีนขึ้นไปด้านบนของหลุม แล้วสำรวดดูรอบๆ “อ่ะ! นั้นมันคฤหาสน์งั้นเหรอ” เขาเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ ซึ่ง เป็นคฤหาสน์ที่มีรูปร่างเหมือนในฝันของเขาทุกประการ “ฉันชักไม่แน่ใจแล้วสิ ว่านี่จะเป็นความฝัน” เพื่อให้รู้ความจริง เขาจึงมุ่งหน้ากลับไปสู่คฤหาสน์นั้นอีกครั้ง “อ่ะ! แล้วสำภาระของฉันล่ะ” เขาเพิ่งจะนึกได้ว่า ข้าวของที่เตรียมมานั้น ไม่ได้อยู่กับเขาตอนที่ตื่นขึ้นมา “เอาล่ะ ช่างก่อนเถอะ ตอนนี่ฉันต้องรีบไปแล้ว” เขาตัดใจเรื่องสำภาระ แล้วมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์โดยเร็ว

      ไม่นานนัก เขาก็ได้มาถึงรั้วลูกกรงของคฤหาสน์ ซึ่งมีตัวอักษรโลหะที่เขียนไว้ว่า ‘Drevis Residenca’ เหมือนในฝันไม่มีผิด “เอาล่ะๆ ฉันคงตื่นเต้นมากเกินไปที่จะได้มาอยู่ จนฝันเพ้อไปเองแน่ๆ” เขาจะรู้ก็ต่อเมื่อเขาได้เข้าไปดูภายในของคฤหาสน์เท่านั้น หากบังเอิญภายใน ดันเป็นเหมือนในฝันอีก ทีนี้ก็คงต้องกลัวซะแล้ว “ใจเย็นๆไว้ เข้าไปดูให้รู้ดำรู้แดงดีกว่า” จากนั้นเขาก็เปิดรั้วเข้าไป และเดินไปที่หน้าประตูของคฤหาสน์ ซึ่งเขาได้หยุดทำใจเป็นครั้งสุดท้าย “3…2…1…!” เขานับถอยหลัง แล้วเปิดประตูเข้าไปในทันที “โอ้ไม่นะ เป็นไปไม่ได้!” ปรากฏว่า ภายในตัวของคฤหาสน์นั้น กลับเป็นเหมือนในฝัน อย่างที่คิดไว้ในตอนแรกจริงๆ “ไม่จริง มันต้องเป็นแค่ความฝันมันต้องเป็นแค่ความฝัน!” เขาวิ่งไปที่ประตูฝั่งซ้าย ซึ่งในฝันนั้นเขาได้ออกมาที่นี่เป็นครั้งแรก พอกลับเข้าไป เขาได้เข้าไปที่อีกห้องนึง เป็นห้องที่อยู่ข้างๆกับห้องที่เขาฝันว่าได้เข้ามาผิงไฟ “ต้องล้างหน้าซักหน่อยแล้ว” เขาคิดว่า ห้องนี้ต้องเป็นห้องน้ำอย่างแน่นอน เพราะการออกแบบบ้านส่วนใหญ่ มักจะมีห้องน้ำอยู่ข้างๆกับห้องรับรองเป็นปกติ และเมื่อเขาเข้าไป มันก็เป็นห้องน้ำจริงๆ และหาอ่างล้างน้ำเพื่อจะล้างหน้า แต่พอเขาส่องกระจก ปรากฏว่า

      “มไม่นะไม่ไม่!!!!” เขาตกใจเมื่อได้เห็นหน้าตัวเองในกระจก “ใครทำอะไรกับฉัน!ทำไมหน้าฉัน ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ!” เขาเห็นใบหน้าข้างขวาของตัวเองเน่าจนกลายเป็นผิวสีดำ และดวงตาข้างขวาก็หายไปเช่นกัน “รหรือว่า มันจะไม่ใช่ฝัน!” เขาตัดสินใจวิ่งกลับออกไปที่ห้องโถง และลงไปที่ห้องใต้ดิน เพื่อจะไปลองดูว่า ที่นั้น มีอะไรที่อาจบอกได้ว่า เกิดอะรึ้นกับเขา “นั้นไงล่ะ ห้องพยาบาล” ขณะที่เขากำลังวิ่งไปที่ห้องพยาบาล จู่ๆก็มีใครบางคน กำลังเดินออกมาจากห้องนั้นพอดี “ยแย่ล่ะสิ มีคนกำลังมาทางนี้!” ด้วยความตกใจ ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก นอกจากหาที่ซ่อนก่อนเท่านั้น “เร็วๆสิ คิดสิๆๆ! ทำไงดี……ห่ะ! นั้นไง” เขาหันไปเห็นกล่องใบใหญ่ ที่อยู่ไม่ห่างจากห้องนั้นมากนัก และยังมืดอีกด้วย ทำให้เขาเลือกที่จะไปซ่อนตัวตรงนั้น

      ไม่นานนัก ก็มีคนเดินออกมาจากห้องนั้น “อือ มาเรีย เป็นตัวอย่างที่ดีเลยนะ” “ค่ะ แต่ฉันคิดว่าการทดลองนี้จะไม่สำเร็จซักเท่าไหร่นะค่ะ” “คคุณอัลเบิร์ด!” ปรากฏว่าคนที่เดินออกมา คือมาเรีย และอัลเบิร์ด ซึ่งกำลังคุยกันเรื่องการทดลองบางอย่าง “ว่าแต่ มันไม่สำเร็จยังไงเหรอ” “ก็ตัวอย่างคือเด็กหนุ่มผมทอง ที่ชื่อดิโอน่ะ เน่าไปแล้วน่ะสิ” ไม่อยากจะเชื่อ! การทดลองกับคนที่มาเรียพูดถึงคือดิโอนั้นเอง “แล้วเอาศพไปทิ้งรึยังล่ะ” “ฉันเอาไปทิ้งได้4วันแล้วค่ะ แต่ก่อนเอาไปทิ้ง ฉันเอาตาของเขามาข้างนึงค่ะ” มาเรียหยิบขวดโหล ซึ่งมีดวงตาของดิโอบรรจุอยู่ “มไม่นะฉันตายไปแล้วงั้นเหรอ” เขาช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะตอนแรกที่คิดว่า มันเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น “ดีแล้วล่ะ งั้นเอาไปเก็บเถอะ ฉันจะไปพักผ่อนก่อนนะ” “ค่ะคุณหมอ” จากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปจากบริเวณนั้น ไม่นาน ดิโอก็ออกมาจากที่ซ่อน พร้อมกับร้องไห้ “ทำไมกันทำไมเขาต้องหลอกคนในหมู่บ้าน ให้เข้ามาเป็นเหยื่อในการทดลองบ้าๆแบบนี้ด้วยนะ!” เขาร้องไห้เสียใจหนักขึ้น แล้วนั้งลง จากนั้นพยายามทำใจยอมรับว่าเขาตายไปแล้ว แต่มันคงจะยากสำหรับตอนนี้ “ฉันจะทำยังไงดี! ฉันยังไม่อยากตาย!!” เขาตะโกนออกไปด้วยความเสียใจ และความแค้นที่อัลเบิร์ดทำแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ทำได้เพียงเท่านั้น ที่นี่ เขาจะทำยังไงต่อไปดีนะ 
       

      ต็องต็องต็องต็องต็องต็องต็องต็องต็องต็องต็อง

      ต็อง…’ เสียนงนาฬิกาคุณปู่ดัง12ครั้ง นั้นหมายความว่าเวลาตอนนี้คือเที่ยงคืนแล้ว แต่ดิโอที่หน้าสงสาร ยังคงนั่งร้องไห้อยู่ที่ชั้นใต้ดินอยู่เช่นเดิม “หนุ่มน้อยฉันว่าฉันเตือนนายแล้วนะ” “หห๊ะ! คุณคุณเป็นใครกันแน่ ทำไมรู้ว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นล่ะครับ” เขาได้ยินเสียงของหญิงคนนั้น เขาจึงลุกขึ้น แล้วลองตามหาต้นเสียงอีกครั้ง “คุณอยู่ไหนครับ ผมอยากพบคุณ” เขาอยากเจอกับคนที่พูด “ฉันอยู่นี่ ฉันชื่อโมนิก้า โมนิก้า เดวิตจ๊ะ” ปรากฏว่าคนที่พูดเตือนเขาตั้งแต่แรก คือโมนิก้า แม่ของอายะ และถูกอัลเบิร์ดฆ่านั้นเอง “คคุณตายไปแล้วนี้ครับ” “แหม่ๆ นายเองก็ตายแล้วเหมือนกันนะ ไม่อย่างนั้นเราจะคุยกันรู้เรื่องเหรอ” โมนิก้าปรากฏตัวข้างหน้าของดิโอ โดยเธอสวมชุดเมดเหมือนอายะ แต่มีสีฟ้าที่อ่อนกว่า และดูเหมือนว่าจะมีรอยเลือดติดอยู่ที่หน้าอกฝั่งหัวใจด้วย “งั้น ทำไมคุณถึงมาเตือนผมล่ะครับ” “ก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันครบรอบ1ปีที่ฉันตายน่ะสิ ฉันไม่อยากเห็นคนตายอีก ทั้งหมดนี่ เป็นเพราะเขาเพราะเขาคนเดียว!” จู่โมนิก้าก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ  “ดเดี๋ยวครับๆ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ เอาอย่างนี้มั้ยครับ ผมเองก็ตายไปแล้วถึงจะอยู่ในรูปของซอมบี้ แต่ผมพอจะช่วยอะไรคุณได้บ้างครับ” เขาคิดจะให้ความช่วยเหลือเธอที่ไม่รู้ว่า เธอต้องการอะไรกันแน่ “จริงสิ ที่ฉันชุบชีวิตนายขึ้นมาด้วยคำสาปแห่งความแค้นนี้ ก็เพราะฉันจะให้นายช่วยนี่นา” “นั้นแหละครับ เอาล่ะว่ามา คุณอยากให้ผมช่วยอะไร” โมนิก้าหยุดไปซักพัก และเดินมาหาเขา “นายชื่ออะไรเหรอหนุ่มน้อย” “ผมชื่อดิโอครับ” “เอาล่ะดิโอ ช่วยพาอายะ ลูกสาวเพียงคนเดียวของฉัน หนีไปจากที่นี่ทีนะ ฉันไม่อย่างให้ความลับของอัลเบิร์ดกลายเป็นจริงน่ะสิ” จู่ๆโมนิก้าก็พูดถึงความลับที่ทำให้เธอต้องตาย ซึ่งได้ถูกบันทึกเอาไว้ในสมุดโน้ตของอัลเบิร์ดด้วย “ได้ครับ ว่าแต่ ความลับที่ว่ามันคืออะไรเหรอครับ” “หากถึงเวลา ฉันจะบอกนายเอง แต่ตอนนี้ นายมีหน้าที่แล้วนะ นั้นคือ พาเธอออกไปอย่างปรอดภัยให้ทีนะจ๊ะ” “ได้ครับ ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด” ว่าแล้ว ร่างของโมนิก้าก็ค่อยๆลางหายไป “เอาล่ะ ฉันต้องไปหาเธอแล้ว” จากนั้นเขาจึงเดินออกมาจากชั้นใต้ดิน และกำลังจะไปชั้นสอง ทางฝั่งเดียวกัน คือฝังขวานั้นเอง แต่ก่อนหน้านั้น ตอนที่เขากำลังเดินออกมาที่ห้องโถงใหญ่ เขาได้เห็นซอมบี้สองตัว ตัวนึงมีสภาพแบบเน่าเปื่อยจนร่างกายท่อนล้างหายไป และอีกตัวยังคงมีสภาพดี โดยยังพอเดินได้ ทั้งสองตัวเดินวนไปวนมาอยู่ที่ห้องโถงนี้ “พวกคุณคงเป็นเหยื่อการทดลองเหมือนกันสินะครับ” เมื่อเขาถามซอมบี้ไป และพยายามเดินไปหาใกล้ๆ ซอมบี้ทั้งสองตัวนั้น กลับไม่ตอบเขา ที่จริง มันไม่สนใจเขา และยังคงเดินวนไปมาราวกับเฝ้ายามอยู่เช่นเดิม “ช่างก่อนดีกว่า ตอนนี้ฉันต้องไปแล้ว” เขาออกมาจากห้องโถง และเดินขึ้นบรรไดไปหาห้องที่คิดว่า น่าจะป็นห้องของอายะ

      ณ ชั้นสองNursery Room งั้นเหรอ อือน่าจะห้องนี้แหละนะ” เขาเดินมาที่ฝั่งขวาของคฤหาสน์ ซึ่งห้องนี้ เป็นห้องที่สองของฝั่งนี้ “เอาล่ะ เข้าไปดีก่วาเอ๋?” ตอนที่เขากำลังจะเปิดประตูเข้าไป เขาก็คิดอะไรได้บางอย่าง “ถ้าจู่ๆฉันเปิดเขาไป แบบนี้เธอจะไม่ตกใจ แล้วคิดว่าฉันจะมาทำร้ายเธอเกินไปเหรอ” ที่จริงเขายังพอเข้าใจว่า หากอยู่ๆมีใครบุกเข้าไปในห้องของตัวเองไม่ว่าใครก็ตกใจแน่นอน “งั้น เอาเป็นว่า ลองดูจุดอื่นๆแถวนี้ก่อนดีกว่า” เขาจึงเดินออกไปจากบริเวณนั้น และเดินไปที่ทางเดินยาว ซึ่งมีหน้าต่างอยู่บานนึง เขาหันออกไปดูนอกหน้าต่าง “อือหิมะหยุดตกแล้วงั้นเหรอ ว่าแต่ ทำไมคืนนี้ดูมืดจังนะ” “อ๊ากกกกกกก!!...” ขณะที่เขากำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ๆสียงของอัลเบิร์ดดังขึ้น “ห่ะ! เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เขาหยุด จากนั้นค่อยๆเดินไปแอบมองอีกฝั่ง แต่แล้วพอเขาแอบมอง อายะก็กำลังจะถูกซอมบี้สองตัวที่เดินวนอยู่ที่ห้องโถงทำร้ายเธออยู่ “มไม่นะ ไม่!” เธอร้องด้วยเสียงที่หวาดกลัว “ทางนี้!” เขาตะโกนเรียกอายะให้ไปหาเขา “ห่ะ   ใครน่ะ” “มาทางนี้เร็วเข้า!” ว่าแล้ว อายะก็วิ่งไปหาเขาจริงๆ “แย่ล่ะสิ ลืมไปเลยว่าเรามีรอยแผลเน่าอยู่นี่นา ทำไงดีๆ” เขาคิดว่า หากอายะมาเห็นรอยแผลกับเบ้าตาของเขา เธอก็อาจกลัวจนวิ่งหนีไปก็ได้ เขาจึงตัดสินใจหันหน้าทางที่ไม่มีรอยแผลหันไปหาเพียงอย่างเดียว ไม่นานนักอายะก็วิ่งมาหาเขา “ทางนี้” “คคุณเป็นใครค่ะ” อายะไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไหร่นัก “มากับฉัน ฉันจะช่วยเธอเอง” “ไม่ค่ะ คุณเป็นใคร” เขาเริ่มหงุดหงิดที่เธอไม่ยอมมาด้วย “ก็บอกว่า มากับผม!” “อเอ๊ยย!” เอาแล้วไง เขาหงุดหงิดจนทนไม่ไหว ทำให้เขาเผลอหันหน้าที่มีรอยแผลไปหาอายะ นั้นทำให้เธอกลัว และหนีไป “มไม่นะ! กลับมาก่อน!” สายไปแล้ว เธอกลัวเขามากจนวิ่งกลับไปในห้องเช่นเดิม “อือทีนี้ฉันจะทำยังไงดีนะ” เขาเดินกลับลงไปที่ห้องโถงใหญ่ และนั่งคิดอยู่ที่บันได

      “จริงสิ! ที่นี่มีห้องพยาบาลนี่นา แสดงว่า ที่นั้นต้องมีแน่ๆ” เขาคิดอะไรได้แล้ว ไม่นานนัก เขาก็ลุกขึ้น จากนั้นจึงวิ่งลงไปที่ห้องใต้ดินในทันที
       

      ณ ชั้นใต้ดิน ขณะนี้ดิโอกำลังหาอะไรบางอย่าง ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะเป็นของที่สำคัญกับเขามาก “เอาล่ะ ห้องนี้แหละ” ตอนนี้เขาอยู่ที่หน้าห้องพยาบาลแล้ว เขาจึงไม่รอช้า เปิดประตูเข้าไปทันที แต่พอเขาเปิดประตูเข้าไป ปรากฏว่า สิ่งที่เขาเห็นนั้น กลับไม่เหมือนในตอนแรกที่เขามา “พระเจ้าช่วย มันเกิดอะไรขึ้นกับห้องนี้กันเนี่ย”ห้องนี้ ดูเหมือนจะถูกรื้อค้น และถูกทำลายไปมาก สังเกตุได้จากข้าวของที่กระจัดกระจายเต็มไปหมด “เอ๊ะเดี๋ยวนะนั้นมัน!” เขาตกใจเมื่อได้เห็นมาเรียกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ข้างๆตู้เก็บของ “ทีนี้คงจะยาก ที่จะไปเอาของบนตู้นั้นซะแล้ว” แต่เขาจะยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้ เพราะของที่เขาต้องการ มีอยู่เพียงแค่ที่นี่เท่านั้น เขาจึงค่อยๆเดินเข้ามาในห้องแบบเงียบมาก และพยายามไม่ให้เกิดเสียงดังขณะที่ไปค้นตู้ยาอยู่ “มันต้องมีสิน่า ที่นี่มันต้องมีแน่ๆ” “อือว่าแต่ สมุดบันทึกเล่มนั้นมันหายไปไหนแล้วนะ” เนื่องจากเขากำลังอยู่ตรงจุดที่เขาอ่านบันทึกในตอนแรก แต่ตอนนี้ หนังสือเล่มนั้นได้หายไปแล้ว “เออยู่ไหนนะ อยู่ไหนนะอ่ะ! เจอแล้ว” ดูเหมือนว่าเขาจะเจอสิ่งที่ต้องการแล้ว “กล่องพยาบาล อยู่นี่เอง” สิ่งที่เขาหาอยู่นั้นคือกล่องพยาบาลนั้นเอง “ที่นี่ก็เหลือแค่ว่า ฉันจะเอามันลงมายังไงดีนะ” เนื่องจากกล่องพยาบาลที่เขาเจอนั้น มันอยู่สูงมาก และยังมีขวดโหลที่มีแต่เอมบิโอ้ สัตว์ตัวเล็กตัวน้อย และอวัยวะของมนุษย์บรรจุอยู่ด้วย “อเออที่นี่จะมีอะไรน่ากลัวกว่านี้อีกมั้ยนะ” เขาจึงต้องระวังเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเกินเขาขยับไปชนโหลตกลงมาแตกแล้วล่ะก็ ได้มีเฮกันแน่นอน “เอาล่ะ เย็นไว้ๆ” เขาเอือมมือไปจับกล่องพยาบาล และค่อยๆเลื่อนออกมาจากตู้ แต่แล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ก็เกิดขึ้น! “ห่ะฮะฮะฮัดเช้ย!”  เขาจามออกมาเสียงดังจนเกือบทำให้มาเรียรู้ตัว คงเป็นเพราะว่าตู้นี้เต็มไปด้วยฝุ่น แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือมีขวดโหลขวดหนึ่ง ทำท่าว่ากำลังจะตกลงมา “ยแย่แล้ว!” ถ้าเขาปล่อยมือจากกล่องพยาบาล แล้วไปรับขวดโหล จะทำให้ทั้งกล่อง และขวดโหลอื่นๆตกลงมาแตกจนหมด แต่ถ้าปล่อยให้ขวดนั้นตกลงมา สิ่งที่จะตามมาอาจจะน้อยกว่ากรณีแรกก็ได้ “ไม่นะๆๆๆ!” เขาไม่อยากให้อะไรตกลงมาแตกทั้งนั้น เขาจึงยกขาข้างหนึ่งขึ้นมา เพื่อลดแรงกระแทกของขวด “ฮึ้บ!” “………………..” เขาทำได้ ขวดนั้นตกลงมากระแทกที่ขาเขาก่อนที่จะกระทบกับพื้น “เฮ้อ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” แต่มันก็ไม่นาน เพราะการที่เขายกขาขึ้นนั้น ทำให้เขาเสียการทรงตัว จึงทำให้หัวเข่าอีกข้าง ไปกระแทกเข้ากับตู้เต็มๆ “เอาแล้วไง คราวนี้ไม่ทันแน่ๆ!” ไม่นานนัก ก็มีขวดอีกใบตกลงมาจากชั้นวางทันที แพร่ง!!’ ขวดใบนั้นตกลงมาเร็วเกินไป ทำให้เขารับไม่ทัน และตกลงมาแตกจนเสียงของมัน ดังก้องไปทั้งห้อง จนแทบจะปลุกผีทั้งป่าช้าก็ว่าได้ “ยแย่ล่ะสิ! มาเรียต้องรู้ตัวแล้วแน่ๆ” “…………………..” ไม่มีปฏิกิริยาใดๆของมาเรียที่แสดงว่า เธอไม่ได้ยินเสียงแก้วแตก “เฮ้อ~ ค่อยโลงอกหน่อย เอาล่ะ ที่นี้ต้องรีบทำความสะอาดแล้ว” เขาหยิบกล่องพยาบาลลงมาวางไว้ จากนั้นจึงเก็บเศษแก้ว และซากของสัตว์ที่ถูกดองเอาไปทิ้งในถุงที่อยู่ตรงปลายเตียงไม้ทันที

      ไม่นานนัก เขาก็เก็บกวาดจนเสร็จเรียบร้อย ที่นี้ก็เหลือแค่ว่า เขาจะหาอะไรในกล่องนั้น กันแน่

      “ไหนดูหน่อยซิ มีรึเปล่านะ” เขาหาอยู่นาน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งที่เขาต้องการเลย “ไม่มีจริงๆเหรอ เป็นไปได้ยังไงล่ะ ที่นี่มันเป็นห้องพยาบาลนี้นา เขาจึงลุกขึ้น และเดินไปหาที่อื่นต่อไป

      แต่ไม่ว่าเขาจะหาจุดใดในห้องนี้ เขาก็ไม่เจอสิ่งที่หาอยู่เลย “อืองั้นลองหาห้องอื่นในคฤหาสน์นี้ดีกว่า” เขาตัดใจที่จะหาในห้องนี้ และกำลังจะออกไปที่ห้องอื่นแทน “ดิโอ” “หห่ะ! ใครน่ะ” จู่ๆก็มีคนมาเรียกเขา “เอ เสียงคุ้นๆนะ หรือว่าจะเป็นคุณ โมนิก้า” “จ๊ะ ฉันเอง ว่าแต่ นายกำลังหาไอ้นี่อยู่ใช่มั้ย?” โมนิก้าหยิบเอาผ้าพันแผลออกมายื่นให้ “ชใช้แล้วครับขอบคุณ ว่าแต่ คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังหามันอยู่ล่ะครับ” “ก็นะ ถ้ามีใครที่ไม่กลัวใบหน้าที่เน่าขนาดนั้นก็ให้รู้ไปเถอะ” เธอรู้อยู่แล้ว ตั้งแต่เห็นหน้าดิโอครั้งแรก เธอจึงเตรียมผ้าพันแผลเอาไว้ แต่ผ้าพันแผลที่เอามานั้น ดันอยู่ที่ห้องเดียวกับที่ดิโอกำลังตามหาพอดี “มาสิ เดี๋ยวฉันจะผันให้เองนะ” “ขอบคุณมากครับ” เขาเดินไปหาเธอ จากนั้นนั่งลง แล้วให้โมนิก้าผันผ้าให้ “ว่าแต่ คุณกำลังตามหาผมอยู่เหรอครับ” “เปล่าหรอกจ๊ะ ฉันลงมาที่นี่ก็เพราะฉันกำลังจะไปเคลียทางให้อายะ อีกอย่างนะ ฉันเหมือนได้ยินเสียงแก้วแตกที่ห้องนี้ด้วย” “ออ๋อ ถ้าเป็นเสียงแก้วแตกล่ะก็ ผมทำเองครับ” เขาคิดว่า หากปิดบังเอาไว้ว่าเผลอทำอะไรลงไป โมนิก้าอาจไม่ไว้ใจเขานั้นเอง “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ขวดโหลนั้นไม่ใช่ของฉันหรอก เอาล่ะ! เสร็จแล้ว” “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ว่าแต่ที่นี้ ผมต้องทำยังไงต่อล่ะครับ” ตอนนี้เขาปิดรอยแผลเรียบร้อย และพร้อมที่จะทำภาระกิจต่อแล้ว “ตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไรนะ เพราะเธอกำลังกลัวนายอยู่  และกำลังจะผ่านมาทางนี้ด้วยดังนั้น ขอให้นายแอบตามเธอไป แล้วพอถึงโอกาสที่เหมาะสม นายค่อยไปช่วยเธอนะ” “อ๋อ ครับๆ ผมจะพยายามครับ” “โชคดีนะจ๊ะ” จากนั้นโมนิก้าก็ค่อยๆลางหายไปอีกครั้ง “เอาล่ะ ต้องหาที่ซ่อนแล้ว” จากนั้นเขาจึงเดินไปที่เตียงไม้ และนอนลงไปที่ใต้เตีนงนั้น หวังจะซ่อนตัวให้เนียนที่สุด ตึกๆๆจู่ๆก็มีเสียงใครบางคนกำลังเดินเข้ามาในห้องนี้ “อ่ะ! เธอมาแล้ว” เมื่อเขารู้ตัว เขาจึงพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุด เพื่อไม่ให้มีใครมาเห็นเข้านั้นเอง “มาเรีย!” อายะเห็นมาเรียนอนจมกองเลือด อายะจึงตกใจ แล้ววิ่งเข้าไปถามอาการของมาเรีย “อ่ะอือโอย~…เกิดอะไรขึ้นทำไมมึนหัวจัง” จู่ๆเขาก็เกิดอาการมึนงงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เอาล่ะหนุ่มน้อยหลับไปก่อนนะ…’ อยู่ๆก็มีเสียงผู้ชาย ที่ดูเหมือนว่าจะสูงอายุ ดังก้องเข้ามาในหัวของเขา “คคุณเป็นใคร” ด้วยความสงใสว่าคนๆนั้นอาจมีพลังจิต ที่สามรถสะกดเขาได้ เขาจึงพยายามหันไปมองทุกๆจุดของห้อง “อเอ๋คุณงั้นเหรอ‘ฉันชื่อOgre(โอกรี)อย่าฝืนเลยหลับไปซักพักเถอะนะคนที่เขาเห็นนั้น รูปร่างสูง ผิวสีขาว หัวโล้น นัยน์ตาสีแดง และสวมชุดสูตรด้วย แต่การมองเห็นของเขานั้น ค่อยๆเลือนลางไปเพราะความมึน หลังจากนั้น เขาก็หลับไป

      ….อืม….ห่ะ!” ตอนนี้เขาได้สติอีกครั้ง “กเกิดอะไรขึ้นกับฉัน……… ‘ปึง!’….โอ้ย!”  ด้วยความที่ตกใจ ซึ่งเขาลุกขึ้นโดยที่ลืมไปว่าตอนนี้กำลังนอนอยู่ใต้เตียง จึงทำให้เขาเอาหัวไปชนกับเตียงไม้แข็งๆอย่างรุนแรง “จเจ็บชะมัด! ว่าแต่ อายะกับมาเรียไปไหนซะแล้วล่ะ” เมื่อเขาได้สติอย่างเต็มตัวอีกครั้ง เขาหันไปมองว่ามีใครอยู่บ้าง แต่ปรากฏว่า ทุกคนที่เคนอยู่ในห้องนี้ตอนแรก ได้ออกไปจนหมด รวมทั้งชายปริศนาคนนั้นด้วย “ว่าแต่ เขาเป็นใครกันแน่นะ ช่างเถอะ ตอนนี้รีบตามอายะไปดีกว่า” เขาคิดว่าอายะคงไปไกลมากแล้ว เขาจึงออกมาจากใต้เตียง แล้วเดินออกไปทางประตูอีกฝั่งนึงทันที “เธออยู่ไหนกันนะ

      หลังจากที่เขารู้ตัวขึ้นมา เขาก็รีบตามอายะออกไป เพราะคิดว่าหากปล่อยไว้นานเกินไป เธออาจเป็นอันตรายได้ ซึ่ง เขาคิดผิด เมื่อเขาได้ตามมาถึงห้องๆหนึ่ง ห้องนี้เป็นห้องครัวขนาดใหญ่ มีเตาแก๊สอยู่ที่มุมห้อง ตู้กับข้าว เนื้อสเต๊กที่ถูกแขวนอยู่ข้างๆกัน และโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถจุคนได้เป็นจำนวนมาก “อ่ะ! ตรงนั้นมีประตูอีกแล้ว” เขาสังเกตุเห็นประตูที่อยู่อีกฝั่งนึงของมุมห้อง เขาจึงเดินไปเปิดประตูนั้น “อาว ทำไมประตู ล็อกล่ะ?” “งั้นลองกลับไปที่เดิมดีกว่า” เขาคิกว่าทางจะสุดเพียงเท่านี้ แต่เมื่อเขากลับไป และกำลังจะเป็ดประตู จู่ๆประตูกลับล็อกต่อหน้าต่อตาของเขาเลย “เฮ้ย! ใครมาล็อกเนี่ย เปิดเดี๋ยวนี้นะ!” ไม่ว่าเขาจะเคาะ หรือพยายามตะโกนเรียกให้คนที่ล็อกประตู กลับมาเปิดให้ แต่กลับไม่เป็นผล “ให้ตายสิ ฉันต้องติดอยู่ที่นี้งั้นเหรอ” เขาหมดหวังที่จะตามไปช่วยอายะ เขาจึงกลับมานั่งที่เก้าอี่ “คุณโมนิก้าครับ ผมจะทำยังไงต่อดีล่ะครับ” เขาพูดขึ้นมาเผื่อว่าเธอจะได้ยินสิ่งที่เขาพูด “ขอร้องล่ะครับ ออกมาคุยกับผมทีเถอะ ทีตอนที่ผมอยู่เฉยๆ ทำไมคุณชอบปรากฏตัวออกมาหาผมมากนักครับ?”  ต่อให้เขาตะโกนดังซักเท่าไหร่ โมนิก้าก็คงไม่ปรากฏตัวออกมาแน่นอน เขาจึงหยุด แล้วนั่งคิดต่อว่า จะออกจากที่นี่ได้ยังไง

      จนตอนนี้เวลาประมาณ02:45. หรือตีสองกว่าๆ เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะออกจากที่นี่ได้ยังไงอยู่ดี แต่แล้วไม่นาน ความหวังก็กลับมาอีกครั้ง ตึกๆๆๆ“หือมีคนกำลังเดินมาทางนี้” เขาจึงหยุดที่จะคิดหาทางออก แต่กลับไปหลบอยู่ใต้โต๊ะแทน นั้นเพราะเขาคิดว่า ถ้าคนที่เปิดประตูเข้ามาเป็นอายะ เธออาจตกใจและหนีไปอีกก็ได้ “อือจะเป็นใครกันนะ” เขาคอยสังเกตอย่างใจจดใจจ่อ แต่แล้วไม่นาน ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา คนๆนั้นคือ อายะนั่นเอง “ใช่เธอจริงๆด้วยแฮะ ว่าแต่ เธอมัวไปอยู่ไหนมากันเนี่ย เราก็คิดว่าเธอจะนำไปไกลแล้ว” “ช่างก่อนเถอะ ไหนๆก็เจอตัวแล้ว ทีนี้เหลือแค่จะไปคุยยังไงให้เธอเข้าใจ และยอมไปกับฉันกันนะ” แพร่ง!’ ระหว่างที่เขากำลังนั่งคิดอยู่ใต้โต๊ะ จู่ๆก็มีเสียงคล้ายกับจานตกลงมาแตก “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เขาออกมาแอบมองอายะ เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไปทำจานแตก “อะอืออื้อ!!” “มไม่นะ!” ตอนนี้อายะกำลังถูกผี จับบีบคอ และยกเธอให้ลอยขึ้นไปเรื่อยๆ “อายะกำลังตกอยู่ในอันตราย!” เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง “เร็วสิๆๆ ฉันจะทำยังไงดี!

      “ต้องรีบไปช่วยแล้ว” เขาตัดสินใจที่จะไปช่วยอายะออกมา แต่ระหว่างที่เขากำลังจะลุกออกจากใต้โต๊ะ จู่ๆก็เหมือนมีมือมาจับขาของเขาเอาไว้ “ไม่ดิโอ เธอจะผ่านมันไปได้เอง” คนๆนั้นคือ    โมนิก้านั้นเอง “ทำไมล่ะครับ อายะกำลังจะตายแล้วนะครับ!” ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงอายะมาก จนเผลอตะคอกใส่โมนิก้า “ไม่เป็นไร ลองดูไปก่อนเถอะ แล้วนายจะเห็นเอง” ดิโอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนเป็นแม่แท้ๆ แต่กลับปล่อยให้ลูกตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ “ที่จริงฉันไม่อยากให้อายะตามหาพ่อ ฉันก็แค่จะแก้แค้นที่อัลเบิร์ดฆ่าฉัน ไม่ใช่ให้อายะไปตามหาเขา” เข้าใจล่ะ โมนิก้าอยากให้อายะหนีไปนากที่นี่ แต่เพราะเธอยังไม่รู้ว่าอัลเบิร์ดปกปิดอะไรไว้ “เขาปิดข่าวมาตลอดเลย เขาบอกกับอายะว่าฉันตายเพราะโรคร้าย วันนี้ฉันจะบอกความจริงให้เธอรู้ มันยังไม่ถึงเวลา แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ” หลังจากที่คุยกันอยู่นาน ดิโอจึงหันกลัมมาดูอายะต่อ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ ตอนนี้ เธอใช่แรงเฮือกสุดท้าย สลัดผีตัวนั้นจนหลุดออกมาได้สำเร็จ “เฮ้ดูสิ อายะหลุดออกมาได้แล้วครับ เรารีบไปช่วยเธอเร็ว!” เขาเรียกโมนิก้าให้ออกไปช่วยกัน ปฐมพยาบาลให้อายะ แต่โมนิก้า กลับหายไปอีกแล้ว “ให้ตายสิ ไปช่วยคนเดียวก็ได้” เขาไม่คิดอะไรมากนอกจากต้องช่วยชีวิตของอายะให้ได้ เขาวิ่งออกมา แล้วอุ้มเธอออกไปที่ห้องทำพิธีทางศาสนา ที่อยู่ติดกัน “เฮ้อายะ เป็นอะไรรึเปล่าได้ยินฉันมั้ย” ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆออกมาจากเธอ “หัวใจเต้นอ่อนมากเลย ฉฉันคงไม่ต้องผายปอดเธอหรอกนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียเขินอาย “ชช่างมันก่อนเถอะ! ตอนนี้ฉันต้องช่วยอายะนะ” ว่าแล้วเขาจึงรวบรวมสติ และผายปอดให้เธอในทันที

      “คคุณพ่อ” เสียงของอายะดังขึ้นอีกครั้ง “ดีขึ้นแล้วเหรอ” เขาถามอาการของเธอ จากนั้นอายะก็ลุกขึ้น แล้วหันหน้ามาหาผม “อ่ะ!” “ไม่ต้องกลัว ผมปิดมันไว้แล้วล่ะ” คงเพราะคิดว่าเขาจะมีหน้าตาเหมือนตอนแรกที่ได้เจอ เธอจึงกลัว และทำหน้าตกใจเมื่อเห็นเขาอีกครั้ง “แล้ว ตกลงว่าคุณเป็นใครกันแน่” “ผมไม่จำเป็นต้องบอกหรอก แต่ว่า เธอต้องออกไปจากที่นี่” เขาเริ่มแผนการหนีอีกครั้ง จากนั้นเขาก็จูงมืออายะเดินไปที่ประตูทางออก“ฉันต้องไปช่วยพ่อก่อน” อายะหยุด แล้ววิ่งไปที่ประตูห้องครัว “ไม่ เธอไม่ควรไป มันอันตรายเกินไป” จากนั้นเขาจึงเดินมาหาอายะ แล้วจับแขนเธอเอาไว้ “ไม่นะ ปล่อยฉัน ฉันจะไปช่วยพ่อ!” ดูเหมือนว่า   อายะจะขัดขืน และไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด “ฟังนะอายะ ที่จริงแล้วพ่อของเธอกำลังปิดความลับบางอย่างเอาไว้ ทั้งเรื่องแม่ของเธอ และเรื่องของเธอด้วย ที่จริงแล้ว เขากำลังจะทำให้เธอกลายเป็นฉึก!’ ขณะที่เขากำลังจะพูด จู่ๆก็มีมีดบิน3เล่ม พุ่งเขาใส่ตัวของดิโอเต็มๆ “ออ่ะ” เขากระเด็นออกไปเพราะแรงของมีด แล้วล้มทั้งยืน “มาทันเวลาพอดีเลย คุณหนู ปลอดภัยรึเปล่าค่ะ” มาเรียนี่เองที่เป็นคนปามีดใส่ เพราะเธอคิดว่า ดิโอกำลังจะทำร้ายอายะ “เธอทำอะไรน่ะ เขากำลังจะมาช่วยเรานะ” มาเรียเดินมาหาอายะ แล้วดูที่ศพของดิโอ “อาว งั้นฉันก็ขอโทษด้วยก็แล้วกัน” มาเรียจึงเดินเหยียบศพของดิโอ แล้วเดินไปที่แทนทำพิธีทางศาสนา “ขอให้ดวงวิญญาณนของเขาไปสู่สุขติด้วย” มาเรียไว้อาลัยดิโอ จากนั้นไม่นาน ประตูทางฝั่งห้องครัวก็เปิดออก “โฮะๆ คิดจะท้ากันขนาดนี้เลยเหรอ” “มาเรีย ฉันขอตามไปด้วยได้มั้ย” อายะอยากจะตามมาเรียไปช่วยพ่อของเธอ “ถ้าโลกใบนี้มันสวยงามไปซะทุกอย่าง ฉันคงจะให้เธอไปด้วยอยู่ค่ะ” ว่าแล้วมาเรียก็เดินเข้าไปในห้องครัว คงเพราะเธอเป็นห่วงว่า อายะอาจเป็นอันตราหากตามไปนั้นเอง จากนั้นไม่นานนัก อายะก็เดินมาดูศพของเขาอีกครั้ง แล้วแอบเดินตามมาเรียไป ทิ้งให้ศพของดิโอนอนอยู่เพียงลำพัง “ฉฉันจะตายอีกครั้งมั้ยนะ” เพราะเขาตายไปรอบนึงแล้ว ทำให้แค่มีดเพียง3เล่ม ไม่สามารถทำให้เขาตายได้ แต่เขาก็เจ็บ และอ่อนแรงไปมากเหมือนกัน “มไม่นะฉันต้องไม่ตาย” สิ้นเสียงนั้น เขาก็หลับไป โดยที่ไม่รู้ว่าหากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะอยู่ในสภาพที่เป็นศพ หรือวิญญาณหรือไม่ก็ตาม

       

      “อือโอยเจ็บจัง” ผ่านไปเกือบ30นาที เขาก็ได้สติอีกครั้ง “วว่าแต่ตอนนี้อายะไปไหนแล้วล่ะ” เขาลุกขึ้นมา พร้อมกับพยายามดึงมีดออกจากร่างของเขา “อือแปลกจังแฮะ ทำไมตอนโดนมีดปาใส ถึงได้เจ็บนักนะ แต่ตอนดึงออก กลับไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ” เขาไม่มีความรู้สึกเจ็บเมื่อดึงมีดเล่มแรกออกมา ทำให้เขาดึงมีดเล่มอื่นได้โดยไม่กังวลเลย “ไม่ได้กาลล่ะ ฉันต้องรีบตามหาอายะแล้ว” เขาเก็บมีดไว้ จากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง เพื่อสำรวจว่า อายะไปไหนต่อนั้นเอง

      ณ ห้องครัว พอเขาเดินเข้ามา สิ่งแรกที่เขาสังเกตคือโต๊ะอาหาร ที่มีจานใบหนึ่ง บนจาน มีรอยของอาหารประเภทเนื้อเหลือเป็นเศษเล็กๆเต็มไปหมด “อายะหิวรึไงนะ ถึงได้เอาเนื้อมาทำสเต๊กกินน่ะ” เขาเลิกสนใจจานใบนั้น แล้วเดินมาดูที่เตาแก๊ส ซึ่งมีแก๊สไหลออกมา เหมือนกับว่า มันปิดไม่สนิด “ให้ตายสิ อายะสับเพล่าจังเลยนะ” ขณะที่เขากำลังจะยื่นมือไปปิดเตา ปรากฏว่า มีไฟติดขึ้นมาบนเตา “อ่ะ!…เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไม มีไฟลุกขึ้นมาเนี่ย” เขาตกใจในสิ่งที่เห็น เพราะคิดว่า มันน่าจะไม่ใช่เรื่องปกติ ที่จู่ๆจะมีไฟลุกออกมา โดยที่ยังไม่ทันเปิดเตา ไม่สิ ยังไม่ทันได้จับเลยด้วยซ้ำ “รหรือว่า มันอาจเป็น” เขาคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ไม่นานเขาก็ไปหยิบฟืนที่อยู่ในตู้เก็บของออกมากองสุมกัน จากนั้นจึงลองยื่นมือไปอังไว้ที่ฟืนเหล่านั้น “มันต้องใช่แน่ๆ” ไม่นานหลังจากทำแบบนั้น ไฟก็ติดขึ้นมาเหมือนเอาไฟไปโยนใส่ก็ว่าได้ “ใช่จริงๆด้วย ฉันมีพลังอะไรบางอย่างอยู่นี่เอง” สิ่งที่เขาคิดคือ   เขาสามารถจุด และควบคุมไฟได้นั้นเอง

      แต่เขาก็ดีใจได้ไม่นาน เพราะว่าจู่ๆ เขาก็มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงเหมือนตอนที่เขาเจอกับชายชุดดำคนนั้นไม่มีผิด “โอยเกิดอะไรขึ้นอีกเนี่ย” สิ้นเสียงนั้น เขาก็ล้งลงไปนอน และ วิญญาณ และจิตใจของเขาก็หลุดออกจากร้างไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่า มีคนดึงจิตของเขาให้ไปที่ใดที่หนึ่งก็ว่าได้

      “เอ๊ะ! อาว! ฉันมาอยู่ที่ไหนอีกล่ะเนี่ย” จู่ๆเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ที่มีแต่ตุ๊กตา กล่องไม้ โหลแคปซูลใบใหญ่ ในนั้น มีศพของโมนิก้าบรรจุอยู่ และอัลเบิร์ดกับอายะ ก็อยู่ในห้องนี้ด้วย “มไม่นะ เขา จะทำมันแล้ว” ดิโอรู้แล้วว่า อัลเบิร์ดจะทำอะไรกับอายะต่อไป “พ่อจะทำให้หนูกลายเป็นตุ๊กตาจริงๆเหรอ”ดูเหมือนโมนิก้า จะบอกความจริงกับเธอแล้ว “อย่าเสียใจเลยอายะ พอลูกกลายเป็นตุ๊กตาแล้ว ความงามจะอยู่ตลอดไปเลยนะ” “ไม่นะอายะรีบหนีเร็วเข้า!” เขาตะโกนบอกเธอ แต่ดูเหมือนว่า เธอจะไม่ได้ยินเลย “ดูสิ! เด็กๆพวกนี้ช่างงดงามใช่มั้ยล่ะ พ่อเก็บรักษาพวกเขาไว้อย่างดี เหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เลยนะ” “ไม่นะ พ่อ หยุดเถอะ หนูไม่อยากเป็นแบบนี้” อายะลุกขึ้น แล้ววิ่งไปที่ประตูห้อง “อายะ ลูกไม่รักพ่อแล้วงั้นเหรอ เอาล่ะ กลับมาหาพ่อนะ” อายะหยุด จากนั้นหันมาอีกครั้ง แล้ว “หนูรักพ่อค่ะ แต่ว่าหนูไม่อยากเป็นตุ๊กตา!!” ว่าแล้ว อายะก็วิ่งออกจากห้องนั้นไป “นั้นแหละอายะ วิ่งเลย วิ่งหนีให้เร็วที่สุด” ดิโอที่ยังคงยืนมองเหตุการณ์อยู่นั้น ก็กำลังสังเกตว่า อัลเบิร์ดจะทำยังไงต่อไป “อายะกลับมาอายะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว แล้วเดินไปเปิดประตู แต่ประตูกลับเปิดไม่ได้ “ฮ่ะๆ ไม่ได้เล่นอายะเหรอ เธอน่ะเป็นเด็กที่ฉลาดกว่าที่คุณคิดนะ” ดิโอหัวเราะชอบใจ “หึหึ คงต้องใช้เจ้านี่อีกซะแล้ว” จู่ๆอัลเบิร์ดก็เดินไปที่กล่องไม้ใบนึง และหยิบเลื่อยไฟฟ้าสีน้ำเงินออกมา จากนั้นเดินไปที่ประตูอีกครั้ง “ยแย่ล่ะสิ! อายะ! วิ่งเร็ว!” เขาคิดว่าอัลเบร์ดจะใช่เลื่อย จัดการกับประตู แล้วอายะไปพร้อมๆกัน “ไม่นะๆๆๆ!” ดิโอเริ่มเสียสติ จากนั้นอัลเบิร์ดก็สตาร์เลื่อย แล้วฟังลงไปที่ประตู “ไม่!!!!” เขาแทบจะหมดลมตาย เมื่อเห็นเลือดทะลักออกมาจากประตู หลังจากที่ฟันเลื่อยลงไป แต่นั้น ไม่ใช่เลือดของอายะ มันเป็นเลือดของตุ๊กตาต่างหาก “ฮ่าๆๆๆๆ!! หนีไม่รอดหรอก!” อัลเบิร์ดสามารถพังประตูไปหาอายะได้สำเร็จ “เร็วสิอายะ! มัวทำอะไรอยู่ วิ่งเร็วเข้า!” ถึงเขาจะตะโกนดังเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้ยินเช่นเดิม “เร็วสิอายะ” จู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนถูกฉุดอีกครั้ง และครั้งนี้ เขาก็กลับมาอยู่ในร่างของตนเองแล้ว “อ่ะ! อายะกำลังวิ่งมาทางนี้!” เขาที่เพิ่งจะรู้ตัว ต่างทำอะไรไม่ถูก นอกจากวิ่งไปหาอะไรบางอย่างในห้องครัว “นี่แหละ มันอาจช่วยฉันได้” เขาหยิดมีดขนาดใหญ่ออกมาจากตู้ จากนั้นวิ่งไปดักรออยู่ที่ห้องโถงทำพิธีทางศาสนา ซึ่งเป็นห้องที่เขาถูกมาเรียปามีดใส่นั้นเอง

       

      หลังจากที่อายะ รู้ความจริงว่า อัลเบิร์ดฆ่าแม่ของเธอ และกำลังจะทำให้อายะกลายเป็นตุ๊กตาด้วย ทำให้เธอต้องวิ่งหนีออกมา แล้วดูเหมือนว่า เธอกำลังวิ่งมาที่ห้องโถงทำพิธีทางศาสนานี้ซะด้วย “เอาล่ะ ต้องหลบอยู่ตรงนี้แหละ” ดิโอที่กำลังเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือ กำลังหาที่หลบ และดูเหตุการณ์ต่อไป ไม่นานนัก อายะก็วิ่งออกมาจากประตูอีกข้าง อย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ “อ่ะ! เธอมาแล้ว” ตอนนี้เขาพร้อมที่จะเข้าไปช่วยแล้ว แต่ว่า จู่ๆอายะก็ล้มลง เพราะขาของเธอ ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง “ออะไรน่ะ!” อายะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว ฮ่ะๆๆมีเสียงหัวเราะเล็กๆดังออกมา จากนั้นก็ปรากฏตุ๊กตาตัวเล็ก ซึ่งกำลังจับขาของอายะไว้แน่น

      ไม่ยอมให้หนีหรอก มาอยู่กับเราเถอะ…’ “มไม่นะ” ตอนนี้ อายะไม่สามารถหนีต่อได้แล้ว “เอาแล้วไง ฉันต้องออกไปช่วยแล้ว!” เขาคิดว่า เขาจะไปช่วยอายะให้หนีจากอัลเบิร์ด และพาเธอออกไปจากที่นี่ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ขยับตัวไม่ได้เลย “ออ่ะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน” “เจ้าหนุ่ม นายคิดจะไปช่วยเธองั้นเธอ” ชายชุดดำคนนั้นปรากฏตัวขึ้น “ปปล่อยผมไป! ผมจะไปช่วยเธอ” “ตอนนี้คงยังไม่ได้ หากแต่นายจะยอมรับก่อน” “ยอมรับยอมรับอะไร!” ชายชุดดำพูดอะไรแปลกๆออกมา “ที่นายยังมีร่างกายอยู่ได้ก็เพราะคำสาปสินะ แล้วนายไม่คิดเหรอ ว่าถ้านายช่วยอายะออกไปจากที่นี่ แล้วคำสาปจะไม่คลายกันน่ะ” จริงด้วยสิ ที่ดิโอกลายเป็นซอมบี้ นั้นก็เพราะ    โมนิก้าใช้คำสาปปลุกวิญญาณนี่นา งั้นหากงานของเขาสำเร็จ ซอมบี้ทั้งหมดก็จะกลายเป็นศพเหมือนเดิมเช่นกัน “มมันก็จริงครับ แต่ว่า หากผมไม่ช่วยอายะ ผมก็ต้องกลายเป็นวิญญาณอยู่ดีนี้ครับ” “นายคิดแบบนั้นงั้นเหรอ แล้วถ้าหากพลังในการควบคุมไฟของนาย ต้องมาทำร้ายนายซะเองล่ะ” ตอนนี้ชายคนนั้นกลับมาพูดถึงพลังที่ดิโอเพิ่งจะรู้ว่ามีอยู่ในตัวเขา “โมนิก้าเป็นคนให้พลังนั้นมากับนาย เพราะเธออยากให้ตอนที่อายะหนีไปได้สำเร็จ เธอจะให้นายเผาที่นี่ทิ้งซะ นายจะถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่ศพเลยนะ” “ตแต่ว่า”เขาเริ่มลังเลซะแล้ว หากเขาช่วยอายะ เขาจะถูกเผา แต่หากไม่ช่วย เขาจะยังมีศพหลงเหลืออยู่ แต่วิญญาณของเขาก็อาจถูก  โมนิก้าตามล่าก็เป็นได้ ที่นี้เขาต้องเลือกแล้วว่า เขาจะยอมถูกเผา หรือหนีหน้าที่นี้กันแน่ ระหว่างที่เขากำลังเลือก เขาก็หันไปดูเหตุการณ์ต่อไป ตอนนี้ อัลเบิร์ดได้เดินตามออกมาแล้ว “พ่อไม่อยากให้ลูกเจ็บปวดหรอกนะ เพราะมันจะทำให้มีรอยแผลอยู่” “มไม่นะ หยุดเถอะค่ะ หนูต้องการเพียงจะได้อยู่กับพ่อแบบมีความสุข ไม่ได้ต้องการแบบนี้นะค่ะ” อายะเริ่มพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลราวกับสายน้ำ “ไม่ต้องห่วง เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เอาล่ะ หลับให้สบายเถอะนะ” เอาแล้วไง อัลเบิร์ดง้างเลื่อยขึ้นมา และพร้อมที่จะฟันลงไปที่อายะแล้ว “มไม่นะ!...ฉันยังไม่ได้เลือกเลย!” ตอนนี้ดิโอยังเลือกไม่ถูกว่าจะเอายังไงต่อ “ไม่นะ!!!” อายะร้องด้วยความกลัวเป็นอย่างมาก “พ่อ รัก ลูก อายะ!!ฉึก!’ “มไม่นะๆ!” ดิโอที่ไม่กล้าหันไปมองว่าอายะอยู่ใจสภาพใด เพราะเขาคิดว่า ตอนนี้เธอตายไปแล้ว “เจ้าหนุ่ม ลองหันไปดูก่อนสิ” “มมาเรีย!” สิ่งที่เขาเห็นคือ มาเรียได้ปามีใส่อัลเบิร์ด และดูเหมือนว่า เขาจะอ่อนแรงลงแล้ว “มไม่นะคุณพ่อ!” “ลูกรักพ่อรักลูกอายะ”เขากล่าวคำบอกรัก และห่วงใยตามภาษาพ่อลูกเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้น ฉึก!’ “อ๊ากกกก!!” มาเรียปามีดเข้าใส่เพิ่มอีก เพราะกลัวว่า อัลเบิร์ดอาจตายไม่สนิด “ไม่นะ!!” อายะตะโกนพร้อมน้ำตา “เอาล่ะ ถึงเวลาที่ผมต้องเลือกแล้วล่ะนะ” “ว่ามาเลย ฉันรอฟังอยู่” ดิโอจะเลือกแล้วว่า เขาจะไปในทางไหนกันแน่ “ผมกลัวการถูกลืมหลังความตาย แต่ว่า” “แต่ว่าอะไรเหรอ” ดิโอหยุดพูดไปซักพัก “ผมเลือกจะทำตามหน้าที่ให้เสร็จครับ! ถึงแม้จะไม่เหลืออะไรไว้ให้คนต่อๆไปได้รู้ว่าผมเคยมีอยู่จริงก็ตาม” “อือไหนๆนายก็เลือกแล้ว งั้น ฉันจะปล่อยนายก็ได้” ว่าแล้วดิโอก็ขยับได้อีกครั้ง “ขอให้โชคดีล่ะหนุ่มน้อย” จากนั้นชายชุดดำก็เดินออกไป “แล้ว ทางฝั่งอายะเป็นยังไงบ้างนะ” เขาหันไปสนใจเหตุการณ์ต่อ “ปลอดภัยนะค่ะ คุณหนู” “มารีย” อายะลุกขึ้นมากอด กลังจากที่มาเรียฆ่าตุ๊กตาที่จับขาของอายะไปแล้ว “คุณพ่อไม่ขยับแล้วเขาตายแล้วเหรอ” “ฉันขอโทษ คุณหนู ฉันไม่มีทางเลือกที่จะปกป้องคุณแล้วค่ะ” มาเรียที่กอดอายะไว้แน่น ก็เริ่มร้องไห้เช่นกัน “โอเคค่ะ หนูเข้าใจ นั้นเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้วค่ะ” ดูเหมือนเธอจะยอมรับในทางเลือกนี้จริงมั้ยค่ะ คุณแม่อายะคิดในใจ “อือที่นี่ก็เหลือแค่พาทั้งสองคนออกไปจากที่นี่แล้วสินะ” แต่ระหว่างที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหาทั้งคู่ จู่ๆ อัลเบิร์ดที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้ว เพราะมีแต่มีดปักอยู่ทั่วร่างของเขา กลับขยับ และลุกขึ้นมาง้างเลื่อย หวังจะฟันให้ตายทั้งคู่ก็ว่าได้ “ฮ่าๆๆๆๆ!!” “ไม่นะ!” ดิโอไม่รอช้า วิ่งไปที่หลังของอัลเบิร์ด แล้วเอามีดที่เขาเตรียมไว้ ฟันลงไปที่หลังของอัลเบิร์ดในทันที “อฮึ!” ด้วยความที่อายะตกใจมาก ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออกเลย “ผมดีใจนะ ที่ช่วยเอาไว้ทัน” “………………………..” อายะยังคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นทันที “คุณหนู!” ด้วยความที่มาเรียกลัวว่า อายะอาจช็อกจนอาจหมดสติได้ “เอาล่ะ ผมจะพาพวกคุณออกไปจากที่นี่เอง” ว่าแล้วดิโอก็พาทั้งคู่ เดินออกมาที่ห้องโถงใหญ่ทันที

       

      อายะและมาเรีย ได้ออกมาอย่างปลอดภัย และตอนนี้ อายะได้เก็บข้าวของ พร้อมกับกระต่ายสีขาว ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอออกไปด้วย “ขอบคุณนะ ที่ช่วยพวกเราไว้” “ไม่จำเป็นหรอก เพราะผมแค่ทำตามที่เธอขอร้องก็เท่านั้น” ตอนนี้ดูเหมือว่า ทุกๆอย่างกำลังจะจบลงแล้ว “ฉันอยากเจอแม่อีกครั้งจังเลย” “ตอนนี้แม่ของเธอคงไม่อยากให้เธอเห็นในสภาพแบบนี้หรอก แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะว่าแม่ของเธอจะคอยอยู่ข้างๆเธอเสมอ อย่าเสียใจเลย ถ้าเธอเป็นทุกข์ แม่ของเธอจะเสียใจเอานะ”

      เขาพยายามจะปลอบใจอายะ “นั้นสินะ” “คำสาปกำลังจะคลายในอีกไม่นานแล้วนะ ดังนั้น ฉันคงต้องอำลาเธอแล้วล่ะ” “ลแล้วนายจะไม่ไปด้วยกันเหรอ” ดูเหมือนเธอ จะเป็นห่วงเขากว่าที่คิดอีกนะเนี่ย “ผม และคนอื่นๆที่เธอได้เจอ ต่างมีชีวิตอยู่ได้เพราะคำสาปนี้ หากคำสาปคลายแล้ว พวกเราก็จะกลายเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้นแหละ” “นั้นน่ะสินะ” อายะเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะบอก “แต่ว่า มีบางอย่างที่ฉันต้องทำก่อนจะเป็นวิญญาณ คือเผาคฤหาสน์หลังนี้” เมื่ออายะได้ยิน เธอก็ทำท่าทางตกใจเป็นอย่างมาก “ททำไมล่ะ นายทำแบบนั้นไม่ได้นะ ที่นี่เป็นที่ๆมีแต่ความทรงจำดีๆ ของพ่อและแม่อยู่ ฉันไม่มีทางให้ทำแบบนั้นหรอก!” “แต่นี้มันไม่ใช่ความตั่งใจของฉันนะ แต่มันเป็นไปได้ที่จะมีคนมาตามรอยพ่อของเธอทีนี่ ดังนั้น ฉันก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกนะ” เขาพยายามทำความเข้าใจ “นั้นเป็นสิ่งที่คุณแม่ต้องการสินะ” “อเออ” “ไม่เป็นไร ถ้าแม่ฉันต้องการ งั้นก็ทำเลย” อายะพอจะเข้าใจว่า แม่ของเธอไม่อยากให้มีใครต้องตายเพราะการทดลองอีก จึงยอมให้เขา เผ่าคฤหาสน์นี้ “เอาล่ะ มีอีกหนึ่งสิ่งที่ฉันอยากจะขอ นั้นคือ อย่าลืมว่าที่นี่มีผู้คนมากมายที่ต้องตายเพราะการทดลองของเขา ทุกๆคนนั้นต่างไม่มีครอบครัว ไม่มีแม้กระทั่งบ้านด้วยซ้ำ ต่อจากนี้จะไม่มีใครเห็นผม และคนอื่นๆอีก พวกเราถูกลบออกจากโลกใบนี้แล้ว แต่เราก็ต้องการมีตัวตน ดังนั้น หากเธอจะช่วยจดจำพวกเรา จะเป็นการช่วยได้มากเลยล่ะนะ” เพราะทุกคนที่ตายที่นี่ต่างรู้ดีว่า ความตายนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เพราะทุกๆคนต่างต้องตาย มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าความตายคือการถูกลืมจากคนที่เรารู้จักมากกว่า “ได้สิ ฉันจะไม่มีวันลืมเลย” “ขอบคุณมากนะ เอาล่ะ ต่อไปเป็นคำอำลา” ว่าแล้ว เขาก็จุดไฟจนลุกไปทั่วทั้งห้องโถง ยกเว้นที่ประตู “อห่ะ!...” อายะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน จายนั้นดิโอก็เดินมาที่ด้านหน้าของอายะ จากนั้น… ‘เขาก็จูบเบาๆลงไปบนหน้าผากของเธอ

       

      “ลาก่อนอายะขอให้เธอมีแต่รอยยิ้มตลอดไป” จากนั้นเขาก็ถอยหลังออกมาสามก้าว “เอาล่ะ ไปได้แล้ว” “ลาก่อนนะ” อายะกล่าวคำอำลา พร้อมกับอุ้มกระต่าย เดินออกไปออกไปจากคฤหาสน์กับมาเรียในทันที

      ขณะที่เขากำลังรอความตายจากไฟที่ตนเองได้จุดขึ้น เขาก็เดินไปดูห้องต่างๆ และรอบๆภายในตัวคฤหาสน์ที่กำลังลุกไหม้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่นาน เขาก็กลับมาที่ห้องโถงใหญ่ แล้วนั้นลงที่บันได จากนั้นจัดระเบียบผ่าพันแผลของตัวเอง “ใกล้ได้เวลาแล้วสินะ” เขาค่อยๆควบคุมไฟให้ลามเขามาใกล้ห้องโถงมากขึ้น “ทำไมกันนะ ฉันไม่น่าถูกเลือกมาเป็นตัวแทนตั่งแต่แรกเลย ไม่งั้น ฉันคงไม่ต้องตายแบบนี้หรอก” เขากลับมาคิดทบทวนตัวเอง ตั่งแต่ตอนที่ถูกเลือกมาเป็นตัวแทนของชายแก่คนนั้น โดยเขาคิดว่า หากชายคนนั้นไม่หัวใจวายซะก่อน เขาก็คงไม่ต้องมาตายอยู่ที่นี่ และอีก4ปี ก็จะไม่มีการเลือกอีก “ดิโอจ๊ะ คำสาปกำลังจะคลายแล้วนะ ตอนนี้นายยังพอจะออกไปจากที่นี่ได้ ถึงจะไม่ไกลมาก แต่อย่างน้อยเธอก็จะไม่ถูกเผานะ แน่ใจแล้วเหรอ ว่าต้องการแบบนี้” โมนิก้าเป็นห่วงว่า เขาจะคิดมากเรื่องความตายที่กำลังจะมาถึง เธอจึงปรากฏตัวอีกครั้ง “ครับ ผมไม่ต้องการจะออกไป เพราะผมฆ่าเจ้าของที่นี่กับมือ แล้วผมจะออกไปตายข้างนอกได้ยังไง อีกอย่าง ผมไม่ต้องการไปเกิดใหม่ด้วย เพราะผมอยากเป็นเพียงวิญญาณติดตามเธอไปครับ” “แต่อายะจะมองไม่เห็นนายนะ นายเป็นเพียงวิญญาณที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองดู แน่ใจจริงๆเหรอ” โมนิก้ายังคงถามเพื่อความแน่ใจ “ครับ ผมได้เลือกแล้ว เอาล่ะ คุณไปเถอะครับ ผมอยากอยู่คนเดียว” “ก...ก็ได้จ๊ะ” ว่าแล้วโมนิก้าก็หายตัวไป คราวนี้เธอคงจะหายตัวจริงๆ และถาวรแล้ว หลังจากนั้น เขาก็ลุกขึ้น แล้วยืนมองพระจันทร์ ที่ส่องแสงลงมาผ่านหน้าต่างเล็กๆ ซึ่งสว่างพอๆกับแสงไฟที่กำลังลุกโชดช่วงอยู่ “มันช่าง...สวยงามเหลือเกิน...มันเหมือนกับตอนแรกที่ฉันมาที่นี่เลย” ตอนนี้ ไฟได้เผาจนข้าวของต่างๆจนไหม้ และล้มลงกระจัดกระจายเป็นผงขี้เถ้าลอยขึ้นไป บางส่วนกลับตกลงมา ราวกับว่ามันคือหิมะที่โปรยปราย รวมกับสายลมอุ่นๆพัดไปมาอยู่ในบริเวณห้องโถงใหญ่นี้ ยิ่งทำให้เขานึกกลับไปถึงตอนที่ได้เจอกับอายะเป็นครั่งแรก  ถึงแม้บรรยากาศจะไม่เหมือนในตอนนั้นก็ตาม “อ...อึก!...ม...ไม่นะ...!” เขาเริ่มรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย และค่อยๆหมดแรงลง “ค...คำสาป...กำลังจะ...คายแล้ว!...” ตอนนี้เขาทรุดตัวลงไปนอนกับพื้น พร้อมกับกล่าวคำอำลาโลกใบนี้เป็นครั่งสุดท้าย “อ...อายะ...ฉัน...กำลัง...จะไปหาเธอ...แล้ว...” “ลาก่อน...ทุกๆคน...” เขากลั่นใจ และใจกำลังเฮือกสุดท้าย พยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นมา แล้วเดินไปที่หน้าประตู จากนั้นไม่นาน เขาก็ใช้พลังควบคุมไฟ ให้เข้ามาใกล้ตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ “ได้เวลา...แล้ว...    อายะ...” ระหว่างที่เขากำลังจะเผาร้างตัวเอง จู่ๆก็มีใครบางคน เปิดประตูเข้ามา และพยายามจะวิ่งมาที่เขาด้วย “ดิโอ!!” “อ...อายะ!” คนๆนั้นไม่ใช่ใคร นอกจากอายะที่วิ่งหน้าตื่นพร้อมน้ำตา เข้ามาในห้องที่เต็มไปด้วยไฟ “อายะ!...เธอควรจะไปจากที่นี่แล้วไม่ใช่เหรอ อย่าเข้ามานะ...เดี๋ยวจะเป็นอันตราย...!” เขาพยายามไม่ให้อายะเข้ามาใกล้ เพราะหากเขามาแล้วล่ะก็ เธออาจโดนไฟเผาไปพร้อมกับเขาก็เป็นได้ “ม...ไม่...ดิโอ...ได้โปรด...อย่าจากฉันไป!!!!

       ขณะที่อายะกำลังวิ่งมา แล้วเอื่อมมือจะมาจับดิโอเอาไว้ จู่ๆไฟที่ไม่สามารถควบคุมได้ ก็พุ่งมาที่อายะด้วยความรวดเร็ว “อายะ! อันตราย!!” เขาใช้แรงสุดท้ายที่เหลือ วิ่งไปหาเธอ แล้วเอาตัวเองเข้าบังเปลวไฟนั้น

      “อ๊ากกกกกกกกก!!!!!!” เขาร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก “มไม่นะ!!!” “มไม่เป็นไรรีบไปซะ” จากนั้นไฟที่กำลังเผาอย่างบ้าคลั่ง ก็เผาร่างกายของดิโอ จนไม่เหลืออะไรเลย นอกจากผ้าพันแผลที่ไหม้ไปบางส่วนเท่านั้น “ไม่นะ! ไม่!!” อายะทรุดตัวลงแล้วตะโกนพร้อมน้ำตา “ฉันฉันรักเธอฉันรักเธอ!!! อย่าเพิ่งไปสิ ฉันรักเธอนะ!!” ถึงอายะจะตะโกนแบบนั้นเพราะคิดว่า ตอนโดนปามีดใส่ยังไม่เห็นตาย เธอเลยคิดว่าโดนไฟเผา ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร แต่ถึงอย่างนั้น ดิโอก็คงไม่กลับมาอีกแล้วแน่นอน ไม่นาน อายะก็พยายามทำใจ แล้วลุกขึ้นมา จากนั้นจึงเก็บผ้าพันแผลที่เหลืออยู่เอาไว้ เธอนำผ้าพันแผลนั้นเช็ดน้ำตาตัวเอง แล้วยืนกอดมันไว้แน่น เธอไม่สนว่า ไฟที่กำลังลุกไหม้คฤหาสน์หลังนี้อย่างบ้าคลั่ง และต่อให้ไฟนั้นเผาร่างของเธอไปด้วย เธอก็ไม่สนใจกับสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นเลย “คุณหนู! อันตรายนะคะ กลับมาเถอะ” มาเรียที่ตกใจว่าจู่ๆทำไมอายะก็วิ่งกลับเข้ามา ก็มาตามเธอออกไปจากที่นี่ “มมาเรีย เขาเขาตายแล้ว” “ฉันรู้ค่ะ แต่เราต้องไปจากที่นี่ไม่งั้นโดนเผาไปพร้อมกันแน่” มาเรียเข้ามาใกล้อายะ แล้วพูดให้สติแก่อายะ “ไม่มาเรีย ฉันฉันจะโอ้ไม่นะ! ฉัน” อายะเริ่มเสียสติ คงเป็นเพราะดิโอเคยพยายามช่วยชีวิตเธอไว้หลายครั้ง แต่คราวนี้ เธอกลับช่วยชีวิตตอบแทนเขาไม่ได้ จึงทำให้เธอเสียสตินั้นเอง “ตั่งสติหน่อยได้มั้ย! เราต้องมีชีวิตต่อไปนะ คุณหนูจำสิ่งที่เขาบอกได้มั้ย แม่ของเธอ ค่อยติดตามดูแลเธออยู่ทุกที่ แสดงว่าแม่ของเธอ ก็กำลังดูเธอในตอนนี้อยู่เหมือนกันจริงมั้ย? งั้นถ้าแม่ของเธอมาเห็นเธอตาย ไม่คิดเหรอว่าแม่จะเสียใจมากแค่ไหนน่ะ” มาเรียพูดถึงความต้องการของโมนิก้า ที่เธอต้องการให้อายะมีแต่รอยยิ้มและความสุขนั้นเอง “อไม่นะแต่แต่ว่าเขา” “เธอยังมีศักดิ์ศรีความเป็นคนอยู่รึเปล่า หากเธอยังมีมัน ก็ให้รู้ไว้ก่อนเลยนะ ว่าเธอยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป และเจอกับสิ่งใหม่ในชีวิตต่อไปนะ” จากนั้นมาเรียก็หยิบขวดโหลเปล่าขึ้นมาใบนึง จากนั้นนั่งลง แล้วเอาผ้าพันแผลของดิโอมาจากมือของอายะ และเอาใส่ขวนนั้นไว้ “เธอยังมีนี่อยู่สินะ งั้นหากเธอเกิดคิดถึงเขาขึ้นมา ก็แค่เอามันมาดู แล้วนึกถึงวันนี้ก็แค่นั้นแหละ เอาล่ะ ตอนนี้เราต้องไปก่อนที่คฤหาสน์หลังนี้จะไหม้จนไม่เหลืออะไรนะ” มาเรียพยายามจะพาอายะออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่ดูเหมือว่าอายะจะยังคงทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ซักเท่าไหร่ เธอจึงยังนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไป

      ขณะที่คฤหาสน์หลังนี้กำลังไหม้จนใกล้จะหมดทุกจุด ดิโอที่ถูกเผาจนเหลือแค่วิญญาณ ก็กำลังดูสิ่งที่เกิดขึ้น และดูว่า เมื่อไหร่อายะและมาเรียจะออกไปเสียที “เร็วๆสิอายะ ฉันจะไม่ทิ้งเธอแน่นอน แต่ว่าตอนนี้รีบออกไปจากที่นี่ซะทีเถอะ” เขาทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากบ่นอยู่คนเดียว เพราะเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น “ดิโอ ฉันจะให้พลังสุดท้ายแก่นายก็แล้วกันนะ จงใช้มันให้เป็นประโยชน์ที่สุดนะ” “โมนิก้าเดินมาข้างหลังของเขา แล้วมอบพลังที่จะทำให้คนสามารถมองเห็นเขาได้เป็นครั้งสุดท้าย “ครับ ผมจะรีบบอกให้อายะไปจากที่นี่ก่อนจะสายเกินไปเองครับ” ว่าแล้ว เขาจึงรวบรวมพลัง และปรากฏตัวให้ทุกคนได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย “อายะ รีบไปเถอะนะ ฉันไม่อยากให้เธอตายที่นี่กับเราหรอกนะ” “ดดิโอ!”  มาเรียตะโกนบอกอายะ จากนั้นอายะก็ทำท่าทางดีใจเมื่อเห็นเขาอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นวิ่งไปหาเขา และพยายามจะไปกอดเขา “ไม่ อายะ ฉันเป็นเพียงแค่วิญญาณเท่านั้น เธอไม่สามารถสำพัสผมได้อีกต่อไปแล้ว” อายะที่ไม่แน่ใจ เธอจึงลองเดินผ่านตัวเขา และก็สามารถทะลุตัวของดิโอไปได้จริงๆ “นนี้นายตายจริงๆแล้วเหรอ” “ใช่ และฉันจะมาครั้งสุดท้าย ก็เพราะแม่ของเธอกำลังดูเธออยู่ข้างๆฉันเสมอนะ ดังนั้น รีบออกไปจากที่นี่ซะ ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ฉันจะอยู่ข้างๆเธอ และแม่ของเธอเสมอ ถึงแม้จะเป็นแค่วิญญาณก็ตาม” เขาพูดให้อายะเข้าใจ ก่อนจะสายเกินไป “มแม่ค่ะ หนูจะทำตามที่แม่บอก และเธอ ดิโอ ฉันขอขอบคุณในทุกๆอย่างอีกครั้งนะ ฉันจะไปแล้วล่ะ” “อือขอบใจที่เข้าใจกัน สุดท้ายก่อนที่จะไม่สามารถมองเห็นฉันอีก ฉันจะไม่ขอกล่าวคำอำลาอีกแล้ว ฉันจะติดตามเธอไปแน่นอน ฉันสัญญา” ว่าแล้วเขาก็ค่อยๆลางหายไป จากนั้นอายะก็เดินจูงมือมาเรียไปที่หน้าประตู “เอาล่ะมาเรีย ไปกันเถอะ อ่ะ! ดิโอคุณแม่ก็มาด้วยกันนะค่ะ” จากนั้นอายะและมารียจึงเดินออกไปจากคฤหาสน์นั้นทันที ไม่นานนัก ไฟที่ดิโอจุดไว้ ก็เผาทุกอย่างจนพังพินาศ และไม่เหลือหลักฐานของสถานที่แห่งนี้ รวมทั้งร่างของดิโออีกต่อไป  

       

       

       

       

      หลายปีต่อมา ในป่าที่แทบไม่มีคนเคนผ่านเข้ามาถึง ตอนนี้ดิโอ ยังคงติดตาม  อายะอยู่เสมอ วันนี้มีคนมาเยี่ยมถึงบ้าน นั้นคือลูกค้า ไม่สิ เธอคือผู้ป่วยของอายะต่างหาก สรุปแล้วหลายปีที่ผ่านมา อายะและมาเรีย ได้เดินทางอย่างยาวไกล แล้วได้มาถึงป่าแห่งนี้ และสร้างบ้านขึ้นมาหลังนึง แต่มันไม่ได้เป็นแค่บ้าน มันกลับเป็นคลินิกด้วย “ที่นี่เองสินะ มาถึงซะที ฉันเคยได้ยินเรื่องของสถานที่นี้” เธอคนนั้นเดินมาที่หน้าป้ายของคลินิก คลินิก เดวิต “คลินิก ใช้แล้ว ต้องเป็นที่นี่แน่ๆ มันตั่งอยู่กลางป่าแบบนี้ คนที่ผ่านมาจึงไม่ค่อยสังเกตเห็นสินะ” จากนั้นเธอก็เดินขึ้นมาที่ระเบียง แล้วเคาะประตู ก็อกๆจากนั้นก็มีผู้หญิงคนนึ เดินมาเปิดประตู เธอคนนั้นคืออายะ ไม่สิ เธอคือ ‘Doctor  Aya’ อย่างเป็นทางการแล้ว “อเออ สวัสดีค่ะ” “โอ้! คุณคงเป็นคนไข้สินะค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ” อายะออกมาทักทาย เธอสวยมากเลย เธอคงจะเป็นหมอสินะ“ฉันได้ยินมาว่า ที่นี่รักษาฟรีใช่รึเปล่าค่ะ?” “ใช่แล้วล่ะจ๊ะ ที่นี่เรารักษาฟรีทุกโรคค่ะ” อายะพูดพร้อมอมยิ้ม “ว้าว! เป็นเรื่องจริงด้วย คุณหมอช่างใจดีจริงๆ” เธอคนนั้นดีใจเมื่อได้ยินแบบนั้น “ว่าแต่ เธอชื่ออะไรงั้นเหรอ” อายะถามชื่อคนไข้ “ฉันชื่อเจน ‘Jean’ ค่ะ” “คุณเจน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่ออายะนะค่ะ” ในตอนนี้ อายะไม่ผูกโบสีแดงอีกแล้ว เพราะเธอตัดผมสั้น และตอนนี้ดูเหมือว่าเธอจะยังคงใส่ชุดเดิมนั้นคือ ชุดเมดสีน้ำเงิน และผ้ากันเปื่อนสีขาวนั้นเอง “อ่ะอึกแค๊กๆ!”  เจนไอกระค่อมกระแค่ม “เสียงนั่นฟังดูไม่ดีเลย เอาล่ะ เขามาข้างในก่อนจ๊ะ” จากนั้นอายะก็พาเจนเข้าไปในคลินิกทันที ในนั้น

      “คุณคงจะเดินทางมาไกลมากเลยงั้นสิค่ะ ฉันสังเกตได้จากขาของคุณ” “อ่ะ! ใช่ค่ะ ฉันเดินมาไกล และเดินมาตลอดทาง แต่โชคดีที่มีคุณยายใจดีท่านนึงให้ฉันขึ้นรถม้า แล้วพาฉันมาส่งที่ทางเข้าป่านี้ค่ะ” เจนคงจะเหนื่อยล้ามากกับการเดินทาง ทำให้อายะสังเกตเจนได้อย่างง่ายดาย

      และตอนนี้ทั้งคู่ก็เดินมาถึงในห้องตรวจแล้ว ในห้องนั้นมีแต่เตียงไม้ ซึ่งเป็นทั้งเตียงตรวจ และเตียงผ่าตัด นอกจากนั้นยังมีตู้ยา ซึ่งในชั้นบนสุดของตู้ยา มีขวดโหลที่เห็บผ้าพันแผลของดิโออยู่บนนั้นนั่นเอง “เชิญนอนรอก่อนนะ” จากนั้นเจนจึงเดินไปที่เตียงแรก และนอนลงไป รอให้อายะเตรียมอุปกรณ์  และเครื่องมือให้พร้อมเสียก่อน

      ขณะที่ดิโอซึ่งไม่มีใครมองเห็น เพราะเป็นเพียงวิญญาณ ก็กำลังดูสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ เช่นกันกับแม่ของเธอ แต่ตอนเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย “อือนี้เป็นผู้ป่วยคนแรกของเดือนเลยนะเนี้ย ว่าแต่อายะทำอะไรอยู่นะ” เขาจึงเดินไปดูในห้องตรวจ และได้มาเจอกับอายะที่กำลังเอาผ้าแม้ดมา ปิดปาก แล้วจากนั้นก็เดินไปตรวจเจน “ฉันขอฉีดยาชานะค่ะ” “ออือค่ะ” เจนจึงนอนนิ่งและรอให้อายะฉีดยาชา “คือดวงตาของคุณสวยมากเลยนะค่ะ” จู่ๆอายะก็มอง และสนใจดวงตาสีเขียวอ่อน ที่สะท้อนแสงจนเปล่งประกายไปทั่งทั้งดวงตาของเธอ “อ่ะ! ขอบคุณค่ะ” “จ๊ะ แต่ตาของคุณ ช่างสวยซะจนฉันไม่อาจหยุดจ้องมองมันได้เลยค่ะ” รู้สึกว่าอายะไปซะแล้ว ดิโอที่กำลังดูอยู่ใกล้ๆ ก็เหมื่อนจะไม่ค่อยสบายใจกับพฤติกรรมของอายะซักเท่าไหร่ “เฮ้ๆ...ไม่ทำงานแล้วนะ อย่าไปสนใจคนไข้แบบนั้นสิ”เขาคิดว่า หากเขายังมีชีวิตอยู่ หรือยังพอบอกอายะได้ เขาก็จะไปบอกให้อายะทำงานต่ออย่างแน่นอน “ที่จริง ไม่เคยมีใครเคยชมฉันแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ ขอบคุณนะค่ะ” “เข้าใจล่ะ อายะไม่ค่อยได้พบปะผู้คน เธอเลยชอบสังเกตุคนแปลกหน้าหรือคนไข้งั้นสินะ” เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของอายะแล้ว ในขณะเดียวกัน มาเรียก็กำลังวุ่นกับการจัดห้องที่อยู่ข้างๆเช่นกัน นับว่าวันนี้จะยุ่งที่สุดเลยก็ว่าได้ ที่จริงมาเรียไม่ได้อยากไปตรวจคนไข้ นั้นเพราเธออยากเห็นความสามารถและพฤติกรรมของอายะนั้นเอง “อือ...มันเหมือนจริงๆ เธอทั้งฉลาด และยังมีเสน่ด้วยสิ” “นั้นสินะมาเรีย” ดิโอหันมาดูทางฝั่งมาเรียบ้าง “ใช้แล้วล่ะมาเรีย ไม่มีใครเหมือนเธออีกแล้วล่ะ” จากนั้นมาเรียก็จัดห้องเสร็จ แล้วลุกขึ้น จากนั้น...

      “เธอช่างเหมือนกับ...”

       

      “...คุณหมอ...”

      คนๆนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เขาก็คือ อัลเบร์ด เดวิต...นั้นเอง...

      _______________________________________END_____________________________________

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×